นักวิจัยอิตาลีเผย พบเชื้อฝีดาษลิงในน้ำอสุจิ ในผู้ป่วย 14 คนจาก 16 คน คาดอาจเป็นพาหะ ติดเชื้อขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสสกุล Orthopoxvirus ของในกลุ่มไวรัสพอกซ์ (Poxvirus) ซึ่งเป็นไวรัสกลุ่มเดียวกับ ไวรัสฝีดาษคน (smallpox หรือ ไข้ทรพิษ) ปัจจุบันมีการแพร่ระบาด กระจายทั่วโลก องค์การอนามัยโลกรายงานผู้ป่วยมากกว่า 3,400 รายและเสียชีวิต 1 รายจากกว่า 50 ประเทศกลุ่มเสี่ยงแถบยุโรปและอเมริกา พร้อมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ล่าสุด นักวิจัยเผยผลการศึกษาอันน่าตื่นตะลึง หลังระบุการปรากฏตัวของฝีดาษลิงในน้ำอสุจิบ่งชี้ว่าสเปิร์มสามารถแพร่เชื้อได้ ซึ่งฝีดาษลิงเป็นที่เข้าใจกันว่าแพร่กระจายผ่านการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะผ่านรอยโรคที่ผิวหนังหรือละอองทางเดินหายใจ ทำให้เกิดคำถามว่าการแพร่กระจายของโรคทางเพศสัมพันธ์เป็นไปได้หรือไม่
ทีมงานของโรงพยาบาล Spallanzani ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในกรุงโรม อิตาลี เผยการศึกษาที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนว่า กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (DNA)ของไวรัสถูกตรวจพบในน้ำอสุจิของชายสามในสี่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคฝีดาษ
ผู้อำนวยการฟรานเชสโก ไวอาให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี กล่าวว่านักวิจัยพบว่ามีโรคฝีลิงในสเปิร์มของชายที่ติดเชื้อ 14 คนจาก 16 คนที่ศึกษา“การค้นพบนี้บอกเราว่าการปรากฏตัวของไวรัสในตัวอสุจินั้นไม่ได้เกิดขึ้นได้ยากหรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”
“การมีไวรัสติดเชื้อในน้ำอสุจิเป็นปัจจัยที่ชี้ให้เห็นถึงความสมดุลอย่างยิ่ง โดยสนับสนุนสมมติฐานที่ว่าการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์โดยการสัมผัสโดยตรงกับแผลที่ผิวหนัง เป็นวิธีหนึ่งในการแพร่เชื้อไวรัสนี้ การศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่าน้ำอสุจิสามารถเป็นพาหนะสำหรับการติดเชื้อได้ จากการศึกษาครั้งแรกคือ เมื่อไวรัสถูกเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ ไวรัสนั้น มีอยู่ในน้ำอสุจิในฐานะไวรัสที่มีชีวิตและติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพในการแพร่พันธุ์”
ตัวอย่างที่ได้จากผิวหนัง แผลที่อวัยวะเพศและทวารหนัก ซีรั่ม พลาสมา น้ำอสุจิ อุจจาระ และช่องจมูก ล้วนเป็นผลบวกต่อดีเอ็นเอของ MPXV ใน PCR แบบเรียลไทม์ ผู้ป่วยไม่พบอาการทางระบบใด ๆ ในระหว่างการสังเกตทางคลินิก และพวกเขาฟื้นตัวได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องให้ยาต้านไวรัสอย่างเฉพาะเจาะจง ในผู้ป่วยที่ 2 เท่านั้น ยาแก้อักเสบและยาแก้แพ้ถูกใช้สำหรับอาการปวดรอบทวารหนักและอาการคันทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาจากนักวิจัยอิตาลีไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าลักษณะทางชีววิทยาของไวรัสได้เปลี่ยนแปลงไป ยังคงรอการตรวจสอบและวิจัยเพิ่มเติม แต่ยังคงยืนยันว่าไวรัสแพร่กระจายผ่านการสัมผัสใกล้ชิดเป็นหลัก พร้อมนักวิจัยของ Spallanzani กำลังพยายามตรวจสอบว่าไวรัสอยู่ในสเปิร์มนานแค่ไหนหลังจากเริ่มมีอาการ
ในผู้ป่วยรายหนึ่ง ดีเอ็นเอของไวรัสถูกตรวจพบได้ภายใน 3 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีอาการ แม้ว่ารอยโรคจะหายไปแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทางผู้อำนวยการโรงพยาบาล กล่าวว่าเคยพบเห็นในอดีตในการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสซิก้า
นั่นอาจบ่งชี้ว่าความเสี่ยงของการแพร่เชื้อฝึดาษลิงสามารถลดลงได้ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยในช่วงหลายสัปดาห์หลังฟื้นตัว ผู้อำนวยการฟรานเชสโก ไวอากล่าว นอกจากนี้ ทางทีม Spallanzani ยังมองหาสารคัดหลั่งในช่องคลอดเพื่อศึกษาการปรากฏตัวของไวรัส
นอกจากนี้ ยังเตือนว่ายังมีคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบมากมายเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง รวมทั้งการรักษาด้วยยาต้านไวรัสสามารถลดระยะเวลาที่ผู้ติดเชื้อไวรัสสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้หรือไม่ และอีกประการหนึ่งคือวัคซีนไข้ทรพิษสามารถปกป้องผู้คนจากฝีดาษลิง ได้หรือไม่ “เพื่อศึกษาสิ่งนี้ เราจะวิเคราะห์ผู้ที่ได้รับวัคซีนเมื่อ 40 ปีก่อน ก่อนที่ไข้ทรพิษของมนุษย์จะประกาศหายไป”
ในรายงานที่เผยแพร่ทางออนไลน์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันยังได้ตรวจพบ DNA ของไวรัสในน้ำอสุจิของผู้ป่วย 2 รายในประเทศ คาร์ลอส มาลูเคอร์ เดอ โมเตส ผู้บริหารกลุ่มวิจัยที่ศึกษาชีววิทยาเกี่ยวกับโรคฝีดาษที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ กล่าว
การวิเคราะห์โดยนักวิจัยในสหราชอาณาจักรพบว่า ดีเอ็นเอของไวรัสจากไวรัสหลายชนิด รวมทั้งไวรัสซิก้า ถูกพบในน้ำอสุจิ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าการปรากฏตัวของสารพันธุกรรมจะเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ “เป็นที่น่าสงสัยและมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเช่นนั้น แต่ยังขาดหลักฐานที่เป็นทางการที่จะนำมาใช้กับการทดลองเพิ่มเติมในห้องปฏิบัติการ”
นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามทำความเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นตัวผลักดันให้เกิดการระบาดในปัจจุบัน ต้นกำเนิดของการระบาด และการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับไวรัสหรือไม่
ขอบคุณที่มาจาก Reuters The Local Eurosurveillance
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ชวนรู้จัก! โรคฝีดาษลิง ติดจากสัตว์สู่คน หลังอังกฤษผวาหนัก เจอผู้ติดเชื้อ 7 ราย
- ไขข้อสงสัย! ฝีดาษลิง-โอมิครอน แตกต่างกันอย่างไร หลังมีอาการคล้ายกันบางจุด
- ไขข้อสงสัย! ปลูกฝีสมัยก่อน-ปัจจุบันแตกต่างกันอย่างไร ป้องกันฝีดาษลิงได้หรือไม่