ติงภาพลักษณ์เผด็จการ 'ประยุทธ์' ทำไทยอ่อนด้อย ไร้การยอมรับ เย้ยเป็นได้แค่ 'ผู้จัด'

Home » ติงภาพลักษณ์เผด็จการ 'ประยุทธ์' ทำไทยอ่อนด้อย ไร้การยอมรับ เย้ยเป็นได้แค่ 'ผู้จัด'



“จิราพร” ติงภาพลักษณ์เผด็จการ “ประยุทธ์” ทำไทยอ่อนด้อย ไร้การยอมรับ เย้ยเป็นได้แค่ “ผู้จัด” ประชุมเอเปค ยกนโยบายศก.สองทาง ยุค “ทักษิณ” จัดเอเปคปังสุด

17 พ.ย. 65 – น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 นี้ว่า

ในอดีตประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ครั้งที่ได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด คือการจัดการประชุมเมื่อปี 2546 ในสมัยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

ที่นอกจากจะโดดเด่นในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศเชิงรุก สามารถแสดงบทบาทนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ทั่วโลกต้องจับตามองไทย และพาผู้นำประเทศมหาอำนาจและเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มาร่วมเวทีเดียวกันได้สำเร็จ

น.ส.จิราพร กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดจากเวทีการประชุมเอเปคในครั้งนั้น คือรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสองแนวทาง หรือ Dual Track Policy เน้นให้ไทยแสวงหาประโยชน์จากการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างกลไกภายในประเทศให้แข็งแกร่ง

จึงเกิดการผลักดันนโยบายอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากในประเทศให้เข้มแข็ง เช่น นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การพักชำระหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน รวมถึงนโยบายการเตรียมความพร้อมประเทศสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยดำเนินการไปพร้อมกับการดำเนินนโยบายการทูตเชิงเศรษฐกิจ ใช้เวทีการประชุมระหว่างประเทศ

โดยเฉพาะโอกาสการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ประสานประโยชน์เพื่อยกระดับนโยบายในประเทศเชื่อมโยงไปยังต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยที่เคยประสบปัญหาจากวิกฤตต้มยำกุ้งและการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส สามารถกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด จนเกือบเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าการพัฒนากลับต้องสะดุดหยุดลงเพราะการทำรัฐประหาร น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า ขณะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำที่มาจากการทำรัฐประหารสืบทอดอำนาจ มีสถานะที่อ่อนด้อย ไม่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก และไม่มีนโยบายภายในประเทศที่ช่วยวางรากฐานให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทย สามารถเติบโตในระดับนานาชาติได้ เน้นเพียงมาตรการระยะสั้นและการแจกเงิน ซึ่งไม่ใช่นโยบายที่สามารถช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน

นับวันยิ่งทำให้คนจนในประเทศเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทะลุ 22 ล้านคน ท่ามกลางหนี้สาธารณะประเทศทะลุ 10 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนสูงเกือบ 15 ล้านล้านบาท แม้ในการประชุมครั้งนี้รัฐบาลไทยจะผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ- เศรษฐกิจหมุนเวียน- เศรษฐกิจสีเขียว หรือ Bio-Circular- Green- Economy Model (BCG) ซึ่งเป็นหลักคิดที่ดีในการเน้นการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและสมดุล

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ภายใต้การบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ แนวคิดนี้อาจเป็นเพียงแค่วาทกรรมสวยหรู ไม่สามารถทำให้ไทยได้ประโยชน์จริง เพราะผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ SME ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 แต่ไร้มาตรการเยียวยาช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐบาล ทำให้ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก บางส่วนที่ยังอยู่ได้ก็หายใจรวยริน จนอาจจะไม่รอดถึงวันที่จะได้ใช้ BCG Model ในการฟื้นฟูธุรกิจของตน

“นอกจากสถานะผู้นำเผด็จการที่มาจากการทำรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาในเวทีโลกแล้ว การที่รัฐบาลไม่มีนโยบายในประเทศ ที่สามารถเชื่อมโยงให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับนานาชาติได้ เน้นเพียงการแจกเงิน ไม่ได้วางโครงสร้างประเทศเพื่อรองรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ประกอบกับความอ่อนด้อยในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นได้เพียงแค่ผู้จัดการประชุมนานาชาติ ไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตา ไม่สามารถใช้เวทีการประชุมเอเปคแสดงบทบาทนำ เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศได้” น.ส.จิราพร กล่าว

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ