นับเป็นเหตุภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดของตุรกีและซีเรียเลยก็ว่าได้ โดยขณะนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเกือบ 35,000 ราย นับจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.8 เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก- จากรายงานการประเมินของสมาพันธ์วิสาหกิจและธุรกิจตุรกี (Turkonfed) เผยว่า มูลค่าความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในวันที่ 6 ก.พ. อาจสูงถึง 84,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.8 ล้านล้านบาทหรือมากกว่านั้น แบ่งเป็นมูลค่าความเสียหาย 70,100 ล้านดอลลาร์หรือราว 2.4 ล้านล้านบาทเกิดจากการพังทลายของอาคารบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า โรงพยาบาล ท่อส่งน้ำมัน และอื่นๆ ส่วนอีก 10,400 ล้านดอลลาร์หรือราว 350,000 ล้านบาทเกิดจากความเสียหายทางเศรษฐกิจซึ่งคิดเป็นร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของตุรกี
ขณะเดียวกันสมาพันธ์วิสาหกิจและธุรกิจตุรกี ยังคาดการณ์ว่า การขาดดุลทางการคลังของตุรกีในปี 2566 อาจเกินร้อยละ 5.4 ของจีดีพี เนื่องจากความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน โครงข่ายไฟฟ้า และโรงพยาบาล ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ของรัฐบาลสำหรับการขาดดุลการคลังในปีนี้ก่อนเกิดแผ่นดินไหวประมาณร้อยละ 1.9 ของตัวเลขจีดีพี โดย บาร์เคลย์ ธนาคารเพื่อการลงทุนของอังกฤษ และบริษัทเชียวชาญอื่นๆ แย้งว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบทั้งหมดของแผ่นดินไหว
อย่างไรก็ตาม ตามรายงานระบุเพิ่มเติมว่า พื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ มีผู้คนอาศัยอยู่ 13.3 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 15.7 ของประชากรทั้งหมดของตุรกี โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้อยละ 36.5 ของประชากรเหล่านี้อาศัยอยู่ในอาคารเก่าที่มีอายุมากกว่า 20 ปี และได้รับความเสียหายมหาศาล
นอกจากนี้ ทางสมาพันธ์วิสาหกิจและธุรกิจตุรกี อธิบายเพิ่มเติมว่า การผลิตทางการเกษตรในภูมิภาคคิดเป็นร้อยละ 20.9 ของการผลิตทั้งหมดของตุรกี ภูมิภาคนี้ยังส่งออกธัญพืช เช่นเดียวกับเหล็ก สิ่งทอ และวัตถุดิบ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 8.7 ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศ
ทั้งนี้ มีการยืนยันยอดผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 35,000 รายและยังมีอีกจำนวนมากที่ยังไม่สามารถระบุได้ โดยในตุรกีมีผู้เสียชีวิตที่ยืนยันแล้วจำนวน 29,605 ราย และอีก 5,273 รายในซีเรีย รวมถึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้วกว่า 80,000 ราย