ณิชา ณัฏฐณิชา ขอโฟกัสปัจจุบัน ไร้แพลนแต่ง โตโน่ ภาคิณ ตอบแทนอีกฝ่าย บวชแต่ไม่เบียด เป้าหมายปีนี้ดูแลตัวเอง- งง ท่าสตาร์ตรถเพิ่งเป็นกระแส
หลังจากที่ทำภารกิจว่ายน้ำข้ามโขงเสร็จ และตั้งใจบวชศึกษาพระธรรม 7 วัน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร โดยนักร้องหนุ่ม โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ก็ได้ลาสิกขาแล้ว เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา
ล่าสุด (16 ม.ค. ) ได้พูดคุยกับนางเอกสาว ณิชา ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ กับผลงานละครเรื่องใหม่ สะใภ้สายสตรอง ที่จะลงจอวันที่ 23 ม.ค.นี้ ทางช่อง3 ก็ถือโอกาสสัมภาษณ์เรื่องราวความรักระหว่างเธอกับหนุ่มโตโน่ พร้อมทั้งเรื่องกระแสต่างๆ ที่ฝ่ายชายได้รับอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดก็สึกแล้ว เป็นยังไงบ้าง 7 วันที่เขาได้บวช
“เป็นทิดโน่ ก็สงบลงกว่าเดิมอีกค่ะ (หัวเราะ) ล้อเล่น ไม่ใช่ค่ะ ก็เป็นเหมือนเดิม เขาบอกว่าได้บวชแล้วก็ได้คิดไตร่ตรองกับอะไรบางอย่างในชีวิต คือก็ได้อะไรมาจากการบวช แต่เขาเย็นไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เย็นมากแล้ว (หัวเราะ) ถ้าเย็นกว่านี้เดี๋ยวหนูต้องเย็นลงด้วย”
เราได้ไปใส่บาตรบ้างไหม
“หนูไปแค่วันบวชกับอีกวันใส่บาตร แล้วก็กลับมาทำงานค่ะ”
เราเห็นความแตกต่างของเขาก่อนกับหลังบวชไหม
“ไม่ค่ะ เขาก็คือพี่โน่คนเดิมค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าเขาก็ได้ข้อคิด ได้วิธีคิดอะไรมาจากการบวช ก็เป็นเรื่องที่ดี”
เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว เขาตั้งใจจะทำอะไรอีกต่อจากนี้
“ยังไม่ได้คุยเหมือนกันค่ะ แต่มันยังไม่เสร็จสิ้น เพราะว่ายังไม่ได้มอบอุปกรณ์ อันนั้นต้องให้ทีมเป็นคนชี้แจงต่างๆ เพราะหนูไม่ได้รู้รายละเอียด”
บวชแล้วเบียดเลยไหม
“ไม่เบียดค่ะ (หัวเราะ) (ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้?) ไม่ได้คุยค่ะ อยู่กับปัจจุบันดีที่สุดแล้ว หนูก็ยังอยากสนุกกับสิ่งที่ทำ เขาก็เหมือนกัน มันยังไม่ได้ต้องแพลนอะไร หนูไม่ได้ชอบแพลนชีวิตขนาดนั้น หนูชอบปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เราทำดีที่สุดทุกวันนี้”
แต่ก็มองอนาคตร่วมกันไหม
“ก็ถ้ามันดี มันก็เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ มันฟิกซ์ไม่ได้”
เคยมีคุยกันจริงจังบ้างไหมกับพี่โน่
“ไม่เลย แล้วแม่หนูก็ชิลมากค่ะ คือมันไม่มีอะไรมาฟิกกันได้ เดี๋ยวมันถึงวันนั้นก็จะรู้เอง ตอนนี้มันร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่กับตัวเองมากๆ ยังอยากไปเที่ยวกับเพื่อน ยังอยากอยู่กับที่บ้าน ยังอยากทำอะไรของตัวเองเยอะมาก ไม่ใช่แค่การแสดง มันยังมีหลายอย่างที่อยากทำ”
แต่โตโน่ก็อายุมากขึ้นแล้ว เขารอเราหรือเปล่า
“ไม่มีใครรอใครค่ะ ทุกคนก็ใช้ชีวิตของตัวเอง (เราไม่ได้เร่ง?) ไม่ค่ะ ก็ต่างคนต่างเต็มที่ในพาร์ตของตัวเอง”
คนที่เราจะแต่งงานด้วยต้องเป็นยังไง
“ไม่รู้เลยค่ะ หนูไม่รู้ว่าอีก 5 ปีหนูจะเป็นคนยังไง อีก 10 ปีจะเป็นคนยังไง ความคิดหนูจะเป็นแบบไหน หนูเลยไม่มีไงคะ ว่ามันต้องเป็นแบบไหน อยู่กับปัจจุบัน อย่างที่หนูบอก เรื่องที่หนูเชื่อคือคนเราเปลี่ยนไปทุกวัน หนูไม่สามารถฟิกซ์อะไรที่มันตายตัวได้ แค่ตอนนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็ให้มันเป็นแบบนั้น แล้วอะไรที่มันจะพอดีกับเรา ก็ให้มันอยู่กับเราแค่น้้นเอง”
ตอนนี้โตโน่ก็อยู่ในเวอร์ชั่นที่เราโอเคใช่ไหม
“ตอนนี้มันโอเคกัน มันเข้าใจกัน อยู่ด้วยกันแล้วมันดี มันก็โอเคค่ะ”
ช่วงนี้เขามีกระแสข่าวมากขึ้น
“คือมันไม่ได้เป็นเรื่องที่เราพูดกันบ่อยๆ เพราะเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร คือตอนที่หนักมากๆ เราไม่ได้พูดอะไร แต่แค่ทำ อยู่ตรงนั้นเฉยๆ เพราะบางทีไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เหมือนเราแสดงให้เห็นดีกว่า ว่าเราอยู่ตรงนี้”
ในช่วงดราม่าหนักๆ เขาเคยมีระบายหรือท้อกับเราไหม
“ระบายน้อยมากค่ะ เขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นห่วง บางทีเราเลยไม่รู้จะพูดอะไร เขาเองก็ไม่ได้พูด เขาไม่ระบายเพราะไม่อยากให้เราเครียดหรือเปล่า อันนี้ต้องถามเขาค่ะ (หัวเราะ) คือมันมีการคุยกันบ้าง แต่มันใช่ท็อปปิกหลักที่คุยกันบ่อย เพราะเราก็รู้อยู่แล้ว ว่าทำงานต่างๆ มันต้องเจอทุกมุมมองจากหลายๆ คน คนเรามันก็มองไม่เหมือนกัน แล้วก็ห้ามความคิดใครไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรารู้ได้คือตัวเราเอง ว่าเราทำอะไรอยู่ เราเป็นยังไง เราคงไปวิ่งตามทุกกระแส หรือว่าเอาใจไปอยู่กับตรงนั้นอย่างเดียวมันก็คงไม่ใช่ เราต้องทำงาน ทำหน้าที่ที่เราทำอยู่ต่อไปให้ดีด้วย เพราะถ้าเราไปโฟกัสอยู่กับแต่ตรงนั้น หรือให้มันมาเป็นเรื่องหลักในชีวิต ทุกอย่างเราก็พังไปหมดเลย มันก็คงต้องค่อยๆ ที่จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้”
โตโน่ทำอะไรสุดโต่งมาก เรารับมือกับเขายังไง
“หนูไม่ได้ต้องรับมืออะไรกับเขา ถ้าเรื่องสุขภาพร่างกาย หนูเป็นห่วงเป็นพื้นฐานปกติอยู่แล้ว คือเวลาถ่ายละครแล้วเขาเล่นเองทั้งหมด ด้วยความเต็มที่ของเขาจริงๆ ก็เป็นห่วงแล้วค่ะ ทำไมต้องเล่นเอง ต้องโดดเอง เตะต่อยเองทุกอย่างขนาดนั้น แต่ก็เข้าใจได้ในฐานะคนทำงานคนหนึ่ง เขาก็อยากจะเต็มที่ เราก็เป็นห่วง แต่ก็รอซัพพอร์ต”
ร้องเพลงเดี๋ยวนี้ก็มีกระโดด มีท่าสตาร์ตรถ
“คือมันไม่ใช่เดี๋ยวนี้ หนูแปลกใจมาก ยังคุยกันที่บ้านอยู่เลย ว่าทำไมมันเป็นกระแสขึ้นมา เพราะเขาทำอย่างนี้มาเป็น 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะเจอหนูด้วย ตั้งแต่หนูเล่นละครกับพี่เขา ก็ล้อกันเองนานมากแล้ว เรื่องท่าสตาร์ตมอเตอร์ไซค์ จนวันที่เป็นกระแสหนูแบบ ทำไมอยู่ดีๆ มาเป็นกระแสได้ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนดูเอ็นเตอร์เทน ก็ตลกดี (เขาก็เขินไปเลย?) ก็เขินนะ (หัวเราะ) หนูก็เคยพูดกับเขาเหมือนกัน ว่าปวดเข่าไหม แต่คือหนูพูดไปเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่แค่ปีสองปีนี้มันเพิ่งมาเป็นกระแส ได้ไงไม่รู้เหมือนกันอะ ไอ้โดดโน่น ทำนี่ คือมันเป็นมานานมากแล้ว ตอนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ หนูถามว่าปวดคอไหม คือโยกหัวก็โยกแรงมาก มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว แต่สำหรับตัวหนู หนูก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่าทำไมมาเป็นกระแสในตอนนี้ อาจจะเพราะกระแสว่ายน้ำ แต่ก็ตลกดี”
คอนเสิร์ตเยอะขึ้นกว่าเดิมไหม
“เยอะ งานเยอะมาก (หัวเราะ) งานคอนเสิร์ตเยอะมาก เวลาไปเตะบอล ใครเจอเขาก็จะแบบ ทำท่าสตาร์ตมอ’ไซค์ให้ดูหน่อย (หัวเราะ) คือถ้าคนได้เคยเห็นคลิปเขา เขาเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ถ้าดูเขาตั้งแต่เดอะสตาร์ เขาเป็นตั้งแต่ประกวด”
แต่เรื่องการกระโดดบนเวที กระโดดลงสระ เรามีพูดไหมว่าหนักไปหรือเปล่า
“อันนี้ก็พูดค่ะ คือเต็มที่ได้ แต่ก็ต้องเซฟตัวเอง หนูก็เป็นห่วงเหมือนเดิม คือรู้แหละว่าเขากระโดดบ่อย กระโดดให้คนบ้าง กระโดดลงเวทีไปเล่นไปทำอะไรบ้าง คือเขาทำอย่างนั้นตลอดอยู่แล้ว แต่ว่าก็บอกเขาว่าอันไหนที่มันอันตรายเกินไป ให้เซฟตัวเองอีกนิดหนึ่งได้ไหม เพราะว่าอายุก็เยอะขึ้นทุกวัน (หัวเราะ) มันก็ต้องดูแลตัวเองเยอะขึ้นนิดหนึ่ง เขาก็โอเค เขาจะพยายาม หนูว่ามันเอเนอร์จี้ของนักร้องค่ะ ที่เราไม่สามารถไปบอกได้ ว่าอยู่บนเวทีแล้วอยู่นิ่งๆ เถอะนะ คือแต่ละคนก็มีสไตล์การเพอร์ฟอร์แมนซ์ไม่เหมือนกัน มันไม่สามารถไปบอกได้ว่าใครควรจะเป็นแบบไหน