World Expo 2020 Dubai เผยรากเหง้าของประเทศไทยสู่อนาคต ผ่านเทคโนโลยีสุดว้าว!

Home » World Expo 2020 Dubai เผยรากเหง้าของประเทศไทยสู่อนาคต ผ่านเทคโนโลยีสุดว้าว!
World Expo 2020 Dubai เผยรากเหง้าของประเทศไทยสู่อนาคต ผ่านเทคโนโลยีสุดว้าว!

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแป๊บเดียวงาน World Expo ซึ่งถือเป็นอีกงานหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกก็เวียนมาบรรจบในรอบ 5 ปี ซึ่งแม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง นั่นคือโรคระบาด Covid 19 ที่ทำให้งานถูกเลื่อนมาจัดในปี 2021 แทนที่จะจัดในปี 2020 แต่สุดท้ายก็ฝ่าฟันมาได้ ทำให้ทั้ง 192 ประเทศ ที่เข้าร่วมงาน World Expo 2020 Dubai ได้มีโอกาสโชว์ศักยภาพของประเทศตัวเองสู่สายตาขชาวโลก และ Sanook บอกเลยว่า งาน World Expo 2020 Dubai ครั้งนี้ ประเทศไทยได้ถ่ายทอดความปังอลังการสุด ที่แน่ใจได้เลยว่า หากชาวต่างชาติมีโอกาสไปเยี่ยมชม ณ อาคารแสดงประเทศไทย ต้องมีร้อง ว้าว! อย่างแน่นอน

ทำความรู้จักงาน World Expo 2020 Dubai

ก่อนจะเริ่มชมความล้ำของการนำเทคโลยีมาใช้ภายในอาคารแสดงประเทศไทย มาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าว่างาน World Expo คืออะไร และสำหรับ World Expo 2020 Dubai นั้นเป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับงาน  World Expo เป็นมหกรรมแสดงนิทรรศการระดับโลกที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ พอ ๆ กับโอลิมปิกเลยทีเดียว ซึ่งงาน World Expo นั้น ได้จัดสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน และประเทศไทยมีการเข้าร่วมตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 4 ถ้านับเป็นปี ก็ร่วมร้อยกว่าปีแล้ว ซึ่งงานจะจัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ 5 ปี ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมหกรรมโลก (Bureau of International Exposition, (BIE) นั่นเอง โดยใน 2020 ( เลื่อนมาจัดในปี 2021 เพราะสถานการณ์ Covid 19 อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น แต่ยังใช้ชื่องานว่า World Expo 2020 Dubai ตามเดิม) งาน World Expo จะจัดขึ้นที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “Connecting Mind, Creating the Future” หรือ “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการขับเคลื่อนให้เกิดความก้าวหน้าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างผู้คน องค์กร และประเทศต่าง ๆ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ ความก้าวหน้าทางนวัตกรรม และกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการร่วมมือกันสร้างสรรค์อนาคตอย่างยั่งยืน โดยแนวคิดนี้ได้แบ่งออกเป็น 3 หัวข้อย่อย คือ 1.โอกาส (Opportunity) 2.การขับเคลื่อน (Mobility) 3.ความยั่งยืน (Sustainability) นั่นเอง

อาคารแสดงประเทศไทย โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่ภาพจำแรก

การเข้าร่วมงาน World Expo 2020 Dubai ของประเทศไทยในครั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบ และเป็นตัวแทนประเทศไทยในการเข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคแอกชน ซึ่งความพิเศษของการจัดงานครั้งนี้คือ อาคารแสดงประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดมา นั่นก็คือ 2.25 ไร่ หรือ 3,606 ตารางเมตร อยู่ในโซน Mobility มีการออกแบบที่นำเอาความเป็นไทยใส่ลงไปในทุกองค์ประกอบเพื่อดึงดูดสายตาผู้มาเยี่ยมชมตั้งแต่แรกเห็นผ่าน “ดอกรัก” ที่นำมาเรียงร้อยกันเหมือนม่าน การใช้ดอกรักประดับประดานี้เปรียบเหมือนการพัฒนาที่แผ่ขยายในวงกว้าง และยังสื่อถึงการเชื่อมต่อของคนไทยในยุคดิจิทัลอีกด้วย

นอกจากนี้ยังใช้ “สีทอง” เป็นสีหลักของอาคาร บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์และแหล่งอารยธรรมของประเทศไทยตั้งแต่ครั้ง “สุวรรณภูมิ” อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยอารยธรรมยาวนานตั้งแต่อดีต ความโดดเด่นยังไม่จบแค่นั้น เพราะมีการดึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมไทยอย่างศาลาหน้าจั่ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายการไหว้ที่งดงามมาเป็นทางเข้าตัวอาคารที่พร้อมเปิดต้อนรับผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก

สำหรับอาคารแสดงประเทศไทยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากพวงมาลัย ซึ่งคนไทยมักใช้ในการต้อนรับ ดอกรัก ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของมาลัย จึงถูกนำมาร้อยเรียงเพื่อประดับบนอาคารเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมิตร และอัธยาศัยของคนไทยในการต้อนรับชาวต่างชาติ และยังสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่นสะดุดตา เป็นภาพจำของผู้พบเห็นตั้งแต่ครั้งแรกเลยทีเดียว

ตื่นตาตื่นใจไปกับนิทรรศการยิ่งใหญ่ตระการตา

ความยิ่งใหญ่ตระการตาของนิทรรศการในงาน World Expo 2020 Dubai จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น Sanook ได้รับเกียรติจาก ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มาเล่าเรื่องราวของนิทรรศการต่าง ๆ ว่ามีความว้าวซ่าอย่างไรบ้าง และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูพร้อม ๆ กันเลย!

“สำหรับงาน World Expo 2020 Dubai จริง ๆ แล้ว ทุกโซนมีไฮไลท์ทั้งหมด พลาดโซนใดโซนหนึ่งไม่ได้ เพราะว่าการจัดงานครั้งนี้ ตั้งแต่เดินเข้ามา ด้านหน้าจะมีเวที outdoor ซึ่งจะมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยที่เป็นเชิงของ Development หรือมีกลิ่นอายของยุโรปบ้าง มีกลิ่นอายของเอเชียบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขน การแสดงแนวโมเดิร์น การแสดงผีตาโขน หรือแม้แต่ไทยประยุกต์เชิงวรรณคดี เป็นความประทับใจที่ Pavilion อื่นไม่มี”

จากนั้น ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ เริ่มเล่าเจาะลึกถึงแต่ละห้องนิทรรศการ ดังนี้

ห้องนิทรรศการที่ 1 Thai Mobility แสดงเอกลักษณ์แบบไทย ๆ

“เมื่อเดินเข้ามาสิ่งแรกที่จะเจอก็คือ เรือสุพรรณหงส์จำลอง เพราะใคร ๆ ก็สนใจอยากดูการเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำ เราก็นำเรือสุพรรณหงส์ที่ปกติจะได้เห็นกันในพระราชพิธีไปแสดง ทั้งนี้ เรือสุพรรณหงส์จำลอง ได้รับความเห็นชอบจากกรมศิลปากรและสำนักพระราชวังตามการจำลองที่เหมาะสมเพื่อนำไปจัดแสดงแสดงในงานแล้ว

ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อเดินเข้ามาอีก คุณจะเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางที่มีความวิจิตรงดงามทางบก โดยเราได้นำราชรถจำลอง ที่มีความสวยงามวิจิตรทางด้านศิลปะของไทยไปโชว์ และนั่นเป็นแค่ส่วนของประตูด่านแรกเท่านั้นเอง

ห้องนิทรรศการที่ 2 Mobility of Life แสดงวิวัฒนาการของเมืองไทย ผ่านแอนิเมชันโดยใช้น้ำเล่าเรื่อง

“สำหรับโซนที่ 2 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของประเทศไทย เพราะชาวต่างชาติเขาไม่เคยรู้ว่าเรามีพระมหากษัตริย์มากี่พระองค์ เราพัฒนาประเทศมาอย่างไร ซึ่งครั้งนี้เราใช้แอนิเมชันเป็นตัวเล่าเรื่องโดยมีสายน้ำเป็นตัวกลาง เล่าถึงการเกิดขึ้นของประเทศไทยตั้งแต่ยุคที่มีการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลโดยเรือ มีฝรั่งตาน้ำข้าวเข้ามาทำการค้า เกิดวิวัฒนาการเกี่ยวกับการคมนาคมและสาธารณูปโภค เกิดถนน เกิดการชลประทาน จนกลายมาเป็นคลองทำการเกษตร มีการเพาะปลูก มีการส่งออก จนกระทั่งมากลายเป็นยุคอุตสาหกรรม แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง เล่าตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนกระทั่งถึงประชาธิปไตย

เราต้องการให้ชาวต่างชาติมองเห็นว่า เมืองไทยเรามีรากเหง้าของวิวัฒนาการที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เป็นประเทศที่ไม่มีศิลปะวัฒนธรรม ในโซนนี้ถ้าคุณไม่ได้เข้ามา คุณจะไม่ได้เห็น History ที่เกิดขึ้น ที่ทำไมถึงเป็นเมืองไทยในปัจจุบันนี้ เพราะส่วนใหญ่คนที่มาเมืองไทย ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบ Big change เสมอ แต่ไม่รู้รากเหง้าที่แท้จริงว่าเป็นมาอย่างไร เราจะเห็นว่าเรามีชนเผ่าทางใต้ของจีน มีทั้งไปอยู่ในอินเดียที่เป็นคนไทยอพยพ หรืออยู่ทางพม่า หรือแม้แต่ทางมาเลเซีย ทุกคนต้องรู้จักรากเหง้าวัฒนธรรม ดังนั้นโซนนี้จึงแสดงถึงรากเหง้าของคนไทย ซึ่งเป็นการพูดถึงการเป็นประเทศที่ศิวิไลซ์แล้ว และคนที่เขาเดินเข้าไปจะได้สัมผัสมิติใหม่ ๆ  

ในส่วนของการเล่าเรื่อง เราตั้งใจทำเป็นแอนิเมชัน  เพื่อแสดงว่าประเทศไทยพัฒนามาอีกขั้นหนึ่งของการที่จะเป็น Digital Development ตาม Theme ของงานด้วย เป็นการแสดงอีกบทบาทว่า คนไทยไม่ได้เก่งแค่การแสดง การเล่าเรื่อง เพราะปัจจุบันไทยได้เข้าสู่โลก Digital เรียบร้อยแล้ว เป็นโลกเสมือนจริง แล้วห้องนี้มีทั้งตัวน้ำ มีทั้งตัวกลิ่น มีทั้งตัวลม ก็เป็นการสร้างความประทับใจของคนที่เดินเข้ามาในโซนนี้ เหมือนกับเข้าไปดิสนีย์แลนด์ ซึ่งในทีนี้ คุณเข้าไปในโซนนี้ที่มีการเล่าประวัติภายใน 3 นาทีเท่านั้น คุณก็จะรู้ว่าประเทศไทยนั้นมีรากเหง้าอะไรมา”  

ห้องนิทรรศการที่ 3 Mobility of the Future ขึ้นพาหนะแห่งอนาคต ชมเมืองไทยในยุคดิจิทัล

“โซนนี้พอเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงมิติที่ไม่ได้มีเพียงแค่เห็นภาพ แต่มีการเคลื่อนไหวทั้งในพื้นแล้วก็ทั้งภาพพร้อม ๆ กัน ก็จะทำให้คน ๆ นั้นเสมือนว่าไปท่องในโลกนั้นในรูปแบบ 360 องศา โดยเราจะพาผู้ชมขึ้นโดรน ถ้ามันไปทางซ้ายผู้ชมก็จะเอียงซ้าย เอียงขวาไปด้วย ทำให้เกิดความประทับใจกับคนที่ไปยืนอยู่ตรงนั้น และได้เรียนรู้ว่าประเทศไทยกำลังจะพัฒนาไปในทิศทางไหนด้วย

การเล่าเรื่อในโซนนี้ จะบอกให้ชาวต่างชาติเห็นภาพเรื่องการท่องเที่ยวไปด้วย ตั้งแต่เที่ยวทางน้ำมาทางภูเก็ต จากภูเก็ตล่องมาคือใต้ มาถึงภาคกลางลงตะวันออก ไปเจอที่แหลมฉบังกำลังเกิดการพัฒนาเมืองใหม่ ขึ้นไปทางเหนือเห็นช้าง เห็นม้า เห็นควาย แล้วเขาคงอยากจะเห็นของจริง เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นของจริง เราก็จะมี QR Code ให้คุณไปดาวน์โหลดหรือเก็บไปดูว่าเมืองไทยของจริงคืออะไร แล้วคุณอยากจะมาเที่ยวก็มา มันคือการสร้าง Demand แล้วมันคือการบอกในอีกมิติ คือ เมืองไทยกำลังก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่ง ตั้งแต่เรื่องของการพัฒนาพื้นที่ แต่เมืองไทยก็ไม่ได้ละเลยเรื่องการท่องเที่ยวที่คุณจำเป็นจะต้องมาเที่ยว

ในขณะเดียวกันเรื่องราวเหล่านั้น แฝงไปอีกว่าเมืองไทยก็มีดีด้านระบบสาธารณูปโภคอื่น ๆ ด้วย ที่นักลงทุนอาจจะสนใจมาทำงานที่นี่ อย่างเช่น พื้นที่ EEC พื้นที่ที่ภูเก็ต พื้นที่ที่เชียงใหม่ และคนมาอยู่ที่นี่อาจจะมีครอบครัวไทย อาจจะมีที่ท่องเที่ยว มีสนามกอล์ฟ สิ่งเหล่านี้คือการเล่าเรื่องให้เขาเห็นภาพลักษณ์ของประเทศไทย ผสมผสานกับกลิ่นอายของการดำรงชีวิต กลิ่นอายของการลงทุน กลิ่นอายของการท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กัน ในช่วงระยะเวลาอีก 3 นาที

“นอกจากนี้ ยังมีการเล่าถึงอีกหนึ่งวิวัฒนาการ เช่น คนป่วยเดินมาแล้วล้มกลางถนนหัวใจวาย เราสามารถใช้หมอรีโมทผ่านหุ่นยนต์ได้ ซึ่งวิวัฒนาการนี้ก็อาจเป็นหนึ่งในการจัดแสดงของโรงพยาบาลชั้นนำที่มาร่วมสนับสนุน Thailand Pavilion ครั้งนี้ และตอบโจทย์คนต่างชาติที่เป็นกลุ่มภาคตะวันออกกลาง เพราะเขาจะชอบการมาดูแลตัวเอง หรือรักษาตัวที่ประเทศไทย”

ห้องนิทรรศการที่ 4 Heart of Mobility ใจส่งถึงใจ สาส์นรักจากต่างชาติ

“ในโซนที่ 4 นี้ ถือเป็นโซนที่น่าภาคภูมิใจ เพราะจะมีชาวต่างชาติที่รักเมืองไทย มาพูดความรู้สึกเกี่ยวกับเมืองไทยให้ฟัง เช่น ฉันดีใจมากเลยที่ได้รับรางวัลมหิดล เพราะฉันเป็นชาวต่างชาติที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศฉันก็รักเมืองไทย บางคนบอกใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย ได้ภรรยาไทย ชีวิตครอบครัวมีความสุข หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตในประเทศไทยก็มีความสุขเหมือนกัน

ทำไมฝรั่งเหล่านี้ หรือคนต่างชาติที่เป็นคนญี่ปุ่น จีน อินเดีย ใครก็แล้วแต่ที่ไม่รู้ภาษาไทยถึงได้รักเมืองไทยขนาดนั้น หรือแม้แต่เศรษฐีก็อยากอพยพมาอยู่เมืองไทย นั่นคือสิ่งที่เรากำลังบอกชาวโลกว่า ให้ดูเพื่อน ๆ คุณ ว่าเขารักเมืองไทยมากขนาดไหน ซึ่งการบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นการจัดแสดงในรูปแบบ หนังสั้นจากเรื่องจริง โดยใช้เทคนิค Pyramid Motion Picture นั่นเอง”

แน่นอนว่ายังไม่หมดเพียงเท่านี้ นอกเหนือจาก 4 ห้องนิทรรศการแล้ว เมื่อออกมาจากห้องนิทรรศการที่ 4 ก็จะเจอกับอาหารไทยปรุงสด ๆ เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารไทยให้คนต่างชาติได้สัมผัสและลิ้มลอง รวมถึงมีของฝากที่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นไทย สามารถช้อปปิ้งโดยใช้ QR Code พอสแกนก็จะผ่านระบบ E-Commerce ของที่สั่งจะส่งถึงประตูบ้าน ไม่จำเป็นต้องมาหิ้วของกลับบ้านสักนิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้กำลังแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเปิดประตู Mobility connect กับโลก ได้อย่างไร้พรมแดนอย่างแท้จริง

เผยอีกหนึ่งความสามารถของคนไทยให้โลกรู้ผ่านมาสคอต

“สำหรับมาสคอตเราใช้ชื่อว่า น้องรัก กับน้องมะลิ แรงบันดาลใจคือ ดอกรัก แสดงถึงคำว่ารัก รักก็คือ Lucky ความโชคดี แม้ว่าจริง ๆ จะสะกดคนละแบบ แต่เวลาชาวต่างชาติถามว่าดอกอะไร เราจะได้บอกว่าดอก Lucky ที่แสดงถึงความโชคดี    

“พอมีน้องรัก เป็นมาสคอตผู้ชายที่ดูแก่นแก้ว ทีมงานบอกว่าถ้าน้องรักอยู่คนเดียวจะเหงาได้ น่าจะมีเพื่อน ก็เลยมีน้องมะลิตามมา เป็นการออกแบบมาสคอตที่มีความน่ารัก แล้วก็หลาย ๆ Pavilion จะไม่มีมาสคอต แต่ของไทยเรามี

“นอกจากมาสคอตจะสร้างความน่ารักประจำ Thailand Pavilion แล้ว ยังบ่งบอกว่า คนไทยก็มีความสามารถในด้านการออกแบบคาแรคเตอร์ตุ๊กตาต่าง ๆ เราออกแบบไปให้ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเอาไปผลิต แล้วเราก็ไปเที่ยว แล้วเราก็ไปซื้อกลับมา ทั้งหมีขาว ปลาวาฬ และอื่น ๆ อีกมากมาย นั่นคือฝีมือน้อง ๆ เด็ก ๆ คนไทยที่ออกแบบมาสคอตเหล่านี้ เรากำลังจะบอกให้ชาวโลกรู้ว่าคนไทยมีฝีมือไม่แพ้ใคร”     

ตัวชี้วัดความสำเร็จความสำเร็จของงาน World Expo 2020 Dubai

“การจัดงาน World Expo ครั้งนี้ ประเทศเจ้าภาพกล่าวว่า น่าจะมีคนไปประเทศเขาประมาณ 25 ล้านคน นี่คือการวางเป้าไว้ก่อนที่จะมี Covid 19 แต่คราวนี้เมื่อเจอ Covid ผมคิดว่าคนน่าจะเหลือประมาณ 12,5000,000 คน ถ้าเอา 10% ของ 12,500,000 คน มาเที่ยวใน Thailand Pavilion ก็ประมาณสัก 1 ล้านกว่าคน ตลอดระยะเวลา 6 เดือน แล้วมี 10% มาเที่ยวเมืองไทย นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวใช้จ่ายวันละ 100 เหรียญสหรัฐ ก็เท่ากับว่าเมืองไทยมีรายได้ ต่อคนที่จะมาประมาณ 3,000 บาท ต่อวัน แล้วคนหนึ่งที่มาเที่ยวก็ประมาณ 7 วัน เพราะฉะนั้นรายได้ที่จะเข้าประเทศไทยต้องไม่น้อยกว่า 3000,000,000 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่ากับการทำงานครั้งนี้ ก็เป็นความคาดหวังที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม แต่เราก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดสำหรับผู้แทนประเทศไทยครั้งนี้”

เรียกได้ว่างาน งาน World Expo 2020 Dubai ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่ชาวต่างชาติจะได้เห็นความเป็นประเทศไทยในหลากหลายมิติ และยังเป็นประตูสู่โอกาสของประเทศไทยในหลาย ๆ ด้านเช่นกัน และสำหรับ  งาน World Expo 2020 Dubai นี้ จะจัดขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สามารถติดตามข่าวสารของอาคารแสดงประเทศไทยได้ที่

Facebook: expo2020dubaithailand

Instagram: expo2020dubaithailand

Youtube: expo2020dubaithailand

Website: https://www.expo2020dubaithailand.com/

[Advertorial]

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ