คลื่นกำลังใจยังคงถูกส่งตรงมาถึง แชมป์-ชนาธิป โพธิ์ทองคำ นักแสดงหนุ่มชื่อดัง วัย 31 ปี อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ที่แฟนๆ รวมถึงเพื่อนพ้องคนบันเทิงได้ทราบข่าว ทั้งเรื่องการเดินหน้าฟ้องร้องเอาผิดลูกหนี้ และอาการป่วยของคุณพ่ออันเนื่องมาจากโรคมะเร็ง ที่ทำให้เจ้าตัวต้องตัดสินใจนำเอาทรัพย์สินออกมาขาย เพื่อหาเงินไปใช้จ่ายเป็นค่ารักษา
กระทั่งล่าสุด ทางด้าน แชมป์ ชนาธิป ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านช่องทางอินสตาแกรม @champ_chanatip โดยเป็นการโพสต์ข้อความบอกเล่ารายละเอียดถึงสถานการณ์ที่เจ้าตัว และสมาชิกครอบครัวต้องพบเจอในช่วงเวลานี้
ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการกราบขอร้องคู่กรณีซึ่งเป็นลูกหนี้ผ่านสื่อ ให้ช่วยนำเงินมาคืน เพราะในตอนนี้ครอบครัวของตนเองมีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องใช้เงิน…
ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ชี้แจงเรื่อง 1. อาการเจ็บป่วยของคุณพ่อ 2. เรื่องการผิดนัดชําระของลูกหนี้ จึงทําให้มีเหตุต้องขายรถและของอื่นๆ
ผมแชมป์นะครับ ที่ออกมาในวันนี้เพราะผมเอง ได้รับการติดต่อจากพี่พี่นักข่าวและสื่อมวลชนทั้งหลายมากมายเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่อง ซึ่งผมก็ขอขอบคุณมากนะครับ แต่ทางผมติดปัญหาที่ต้องดูแลคุณพ่อซึ่งเจ็บป่วยหนักเลยทําให้ไม่สามารถไปสัมภาษณ์รายการต่างๆ ได้ จึงอยากจะขอใช้ ข้อความนี้เพื่อเป็นการแถลงและชี้แจง
1. อาการเจ็บป่วยของคุณพ่อ คุณพ่อผมป่วยเป็นมะเร็งที่ปอด(ระยะแพร่กระจาย) และเชื้อมะเร็งได้กระจายไปยังกระดูกบริเวณคอ ทําให้คุณพ่อต้องทรมานมากจากอาการเจ็บปวด ทางครอบครัวของผมทราบว่าคุณพ่อเป็นมะเร็งเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 ตอนแรกคุณพ่อมีอาการปวดคอมาได้ซักพักแต่ไม่ได้รุนแรงมาก แต่อยู่ๆ ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2566 อาการปวดของคุณพ่อรุนแรงขึ้นมาก ทางครอบครัวจึงพาคุณพ่อมาหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นแค่กระดูกทับเส้น แต่พอคุณพ่อได้รับการตรวจอย่างละเอียด ทําให้ทราบว่าคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งปอด และมะเร็งได้แพร่กระจายมายังกระดูกบริเวณคอจึงทําให้มีอาการเจ็บที่รุนแรง ทางครอบครัวได้เข้าปรึกษาคุณหมอเรื่องแนวทางการรักษา รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษา จึงทําให้ทราบว่าคุณพ่อต้องใช้ค่ารักษาเป็นเงินจำนวนมาก
2. การผิดนัดชําระ ที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องนั้น ทางผมได้รับการติดต่อกับจำเลยขอไกล่เกลี่ยทําสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงชําระหนี้ต่างๆ รวมถึงที่เคยช่วยเหลือ ต่อมาก็ยังผิดนัดทําให้ผมต้องฟ้องคดี พอยื่นฟ้องไปมีการติดต่อมาว่าจะชําระและก็ไม่เคยมีการชําระเข้ามาเลย จนต่อมาคุณพ่อผมก็ป่วยหนักและได้รับรู้เรื่องราวก็ยิ่งมีอาการทรุดลง ทําให้ต่อมาผมจําเป็นต้องขายรถยนต์และสิ่งของต่างๆ เพื่อเตรียมเงินมารักษาคุณพ่อ โดยทางจําเลยก็ไม่เคยสนใจใยดีใดใด แต่หาเหตุมาอ้างว่าจะคืนเงินต่างๆ ก่อนขึ้นศาลนัดแรก แต่ปรากฏว่าก็ไม่เคยคืนเงินแต่อย่างใด อีกทั้งทราบว่ามีการยื่นคําให้การเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ทางจําเลยติดต่อมาว่าจะมาศาลเพื่อไกล่เกลี่ย
แต่เมื่อถึงนัดขึ้นศาลนัดแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 ที่ศาลจังหวัดอุดร ผมในฐานะโจทก์ที่ 1 และผู้รับมอบอํานาจคุณแม่ โจทก์ที่ 2 ในคดีมาศาล พร้อมทนายความ (พี่ตั้ม เกรียงชัย วิศิษฎ์สรอรรถ) พวกเรามาตามนัดตั้งแต่เวลา 9.00 จําเลยก็ไม่มาศาลและไม่เป็นไปตามที่ติดต่อมา คือให้การปฏิเสธ รวมถึงทนายจำเลยก็ไม่มา แจ้งเลื่อนศาลและติดต่อไม่ได้ต้องรอกันเป็นเวลานาน สุดท้ายจึงนัดสืบพยานกันในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ผู้รับมอบฉันทะทนายจําเลยแจ้งว่าเท่าที่คุยจําเลยประสงค์ไกล่เกลี่ยจะมาในวันนัดดังกล่าว ผมก็ไม่รู้ว่าจําเลยต้องการอะไรและจะเชื่ออะไรได้บ้าง ผมหวังว่าความยุติธรรมจะบังเกิดต่อไป วันนี้ผมและครอบครัวยังคงได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากเหตุการณ์นี้ที่จำเลยกระทำเอาไว้มากจริงๆ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณพี่นักข่าวสื่อมวลชนทั้งหลาย รวมถึงทางแฟนคลับและหลายหลายคนที่อาจจะไม่ได้เอ่ยชื่อ ที่ให้กําลังใจผม จากเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วย ขอบพระคุณมากครับ
“ฝากถึงจําเลยนะครับ คืนเงินเถอะครับ ทางครอบครัวผมเดือดร้อน และจําเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ครับ”