จากกรณี อ้อ ชลิดา พะละมาตย์ จากเพจ เป็นหนึ่ง โพสต์ภาพพร้อมข้อความแจ้งข่าวชวนช็อก กรณีสาวสวยเจ้าของเพจดัง นิกกี้ขยี้ข่าว ล่าสุดลูกสาว 2 คนของนิกกี้เข้าขอความช่วยเหลือจากเพจเป็นหนึ่ง บอกว่าถูกแม่ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่เอาเงินจากพ่อที่เป็นชาวต่างชาติ ล่าสุดเป็นหนึ่งได้พาเด็กทั้ง 2 คนเข้าแจ้งความไว้แล้ว
ล่าสุด นิกกี้ ศรินทิพย์ หรือ นิกกี้ขยี้ข่าว ได้ให้สัมภาษณ์กับทางช่อง 3 ในประเด็นดังกล่าวแล้ว ระบุว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องมาทั้งหมด เธอเครียดจนกินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ และอาเจียนเป็นเลือด ตอนนี้มีญาติพี่น้องและคนในครอบครัว เดินทางมาให้กำลังใจ ยังไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์อะไรมากนัก ส่วนปัญหากับลูก อยู่ระหว่างปรึกษาทนายความ ยังไม่อยากให้รายละเอียดอะไร กลัวว่าจะกระทบรูปคดี ตอนนี้เป็นห่วงสภาพจิตใจของลูกมากกว่า ก่อนที่ลูกจะไปร้องกับทางเพจเป็นหนึ่ง ช่วงเย็นวันที่ 8 ม.ค. ตนกับลูกทั้งสองคน ยังพูดคุยกันและกอดให้กำลังใจกันปกติ ซึ่งตนก็งงมาก จู่ๆวันรุ่งขึ้น เกิดเรื่องนี้อีก
ส่วนเหตุการณ์ที่ลูกให้ข่าวไปนั้น เกิดขึ้นตอนปี 2562 ซึ่ง นิกกี้ ไม่ได้ยืนยันว่า มีการทำร้ายร่างกายลูกหรือบังคับให้ลูกไปขอเงินจากทางสามี แต่นิกกี้ บอกว่า ตนเองและสามี ตัดสินใจแยกกันอยู่นานแล้ว แต่ว่ายังติดต่อส่งเสียค่าเลี้ยงดูมาให้และยังมีทะเบียนสมรสกันอยู่ ซึ่งตอนปี 2562 ตนเจอกับมรสุมหลายด้าน ทั้งสูญเสียคุณแม่ และป่วยเป็นภาวะซึมเศร้า เครียดถึงขั้นทำร้ายตัวเอง
สำหรับประเด็นหนุ่มบาร์โฮส ทาง นิกกี้ บอกว่า ไม่มี ภาพที่ชาวเน็ตขุดขึ้นมา ส่วนใหญ่ก็เป็นน้องๆ และเพื่อนๆเท่านั้น
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 3 ได้รับการติดต่อจากเจ้าของคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง ที่ตกเป็นผู้เสียหายของนิกกี้อีกราย บอกว่า เธอเปิดคลินิกเสริมความงาม ตอนปี 2562 และติดต่อไปทางเพจสวยสยอง ซึ่งเป็นเพจของนิกกี้ ก่อนที่จะมาทำเพจนิกกี้ขยี้ข่าว ซึ่งเพจสวยสยองเป็นลักษณะกลุ่มปิดมี สมาชิกหลักแสนคน ทางคุณเอ จึงติดต่อไปหานิกกี้ เพื่อขอเข้ากลุ่ม มีเงื่อนไขว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเดือนละ 4 แสนบาท เป็นค่าการตลาด
โดยทางนิกกี้ ทำการไลฟ์สด เพื่อโปรโมตคลินิกและขายคอร์สเสริมความงามให้ ซึ่งดูเป็นวิธีการทำการตลาดปกติ แต่ปัญหาคือ พอลูกค้าที่ซื้อคอร์สเสริมความงามผ่านไลฟ์สดของนิกกี้ จะมีการโอนเงินเข้าบัญชีของทีมงานและโอนต่อไปที่นิกกี้ ทำให้ทางคลินิกไม่ได้รับเงินในส่วนนี้ มูลค่ากว่า 500,000 บาท แต่พอลูกค้ามาใช้บริการและแสดงสลิปการโอนเงินให้ดู จึงพบว่าเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่นไม่ใช่บัญชีของทางคลินิก แต่ทางคลินิกต้องรับผิดชอบด้วยการให้บริการลูกค้าตามคอร์สที่ซื้อมา