“อัจฉริยะ” ชี้ หมูเถื่อนซุกซ่อนอีกกว่าพันตู้ โยงนักการเมืองดังมีเอี่ยว คาด 1 เดือนเดินหน้าฟ้องผู้เกี่ยวข้อง

วันนี้(7 ส.ค. 66) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากร นําตัวแทนผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศยื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจตู้หมูเถื่อนที่ยังซุกซ่อนอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบังอีกหลายพันตู้

โดยนายอัจฉริยะ กล่าวว่า หลังจากที่กรมศุลกากรแถลงข่าวเรื่องจับหมูเถื่อน 161 ตู้ไปก่อนนี้นั้น ปรากฏว่าปัจจุบันยังคงมีตู้หมูเถื่อนที่ซุกซ่อนอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบังอีกกว่า 2 พันตู้ ซึ่งวันนี้จะมีการเข้าร่วมประชุมกับทางดีเอสไอ ซึ่งตนมีหลักฐานชัดเจน โดยหลังจากที่มีการเข้มงวดตรวจค้นที่ท่าเรือแหลมฉบังก็พบว่ามีการลักลอบออกมาทีละ 1-2 ตู้ และเปลี่ยนจากท่าเรือแหลมฉบังไปที่ท่าเรือคลองเตยแทนและหากเราไปเข้มงวดตรวจขันจับกุมที่ท่าเรือคลองเตยก็จะย้ายไปเรื่อยๆ ซึ่งการทําเช่นนี้เพื่อเป็นท่อนํ้าเลี้ยงให้กับนักการเมือง โดยมีตัวหลักคืออธิบดีกรมศุลากากร

นายอัจฉริยะ กล่าวต่ออีกว่า เรื่องหมูเถื่อนเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2564 จนถึงปัจจุบันและอีก 2 เดือนข้างหน้าหากยังไม่มีการแก้ไขหรือปราบปรามอย่างจริงจังเกษตรกรทั่วประเทศ “เจ๊ง” หมดอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนก็ได้รับหมูที่มีราคาแพงขึ้น เพราะจะถูกควบคุมโดยนายทุน

ขณะที่ด้านตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร กล่าวเพิ่มว่า เกษตรกรทุกคนเดือดร้อนเป็นอย่างมากคาดว่าไม่เกิน 2 เดือนจะล้มสลาย จึงอยากขอให้เรื่องนี้จบโดยเร็วจะเหลืออีก 2 พันกว่าตู้หรืออีกเท่าไรก็ตาม ซึ่งได้ยินมาว่ามีการลอบนําเข้ามาอย่างหนักในภาคใต้ เพราะขึ้นง่ายมีทะเลทั้ง 2 ฝั่ง เมื่อระวังท่านี้ก็หนีไปขึ้นท่าอื่นๆไม่จบไม่สิ้น และก่อนหน้านี้เรามีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรกว่า 2 แสนราย แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 4 หมื่นกว่ารายเท่านั้น และตนไม่อยากให้ประชาชนไปหลงอยู่ที่การจับหมูเถื่อน 161 ตู้ เพราะนั้นเป็นของตายไม่ถึง 1 เปอรเซ็นต์ด้วยซํ้า แต่ที่เหลืออีกจํานวนมากต่างหากคือยาพิษชามใหญ่ที่จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อเกษตรกรทั่วประเทศ

ทั้งนี้นายอัจฉริยะ ระบุด้วยว่า เป้าหมายในวันนี้ตามจริงแล้วอยากจะร้องขอให้ดีเอสไอดําเนินคดีนายด่านท่าเรือไปจนถึงอธิบดีศุลกากร แต่เกรงว่าจะไปกระทบต่อรูปคดีของดีเอสไอที่ดําเนินการอยู่ จึงเปลี่ยนเป็นขอให้ช่วยตรวจสอบหมูเถื่อนที่ยังตกค้างอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบังอีกกว่า 2 พันตู้แทน ส่วนแนวทางการฟ้องร้องดําเนินคดีต่างๆ เรามีแนวทางและเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้วแต่ยังไม่ขอเปิดเผยตอนนี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดําเนินการภายใน 1 เดือน