ปัจจัยอะไรทำให้ภาพของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา มีความโดดเด่นเป็นสง่า
คำตอบที่ตรงเป้าที่สุด อยู่ที่ “คำวิงวอน” อันปรากฏขึ้นในบรรยากาศแห่งการลงนามใน “ข้อตกลงร่วม” หรือ MOU แห่ง 8 พรรคการเมือง
ท่ามกลางการตั้ง “ป้อม” จากปราการแห่ง 250 ส.ว.
ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่ถูก “ปล่อย” ออกมาเพื่อเสี้ยมและแยกดึงเอาพรรคเพื่อไทยออกไปจากพันธมิตรแห่งแนวร่วมกับ 7 พรรคการเมือง
“คำวิงวอน” นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะ
ต้องยอมรับว่าเป็น “คำวิงวอน” ที่สรุปสถานการณ์ในห้วงจาก 2549 ได้อย่างชัดเจน
ชัดเจนในสภาพแห่งการดำรงอยู่ของการเมืองจากก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กระทั่งรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ท่ามกลางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล
ท่ามกลางการรั้งดึงและต่อต้านจากพลังการเมือง “เก่า” เพื่อมิให้พรรคก้าวไกลและ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พบกับความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาล
เป็น “คำวิงวอน” อันสะท้อน “จิตวิญญาณ” ประชาธิปไตย
เป้าหมายหลักเป็นการเตือนไปยังพรรค 250 ส.ว.อันเป็น “ป้อม” ปราการใหญ่
“ในเมื่อท่านให้โอกาสคนที่ยึดอำนาจมา 9 ปีโดยที่ไม่สามารถคัดค้านได้เลย แต่วันนี้ท่าน ไม่ให้โอกาสพวกเราที่มาจากอำนาจของประชาชน”
ขณะเดียวกัน ก็ยืนยันในสัจจะทางการเมือง
“ผมอยากจะวิงวอนว่า การเจรจา การทำงานใดๆ นั้นไม่มีใครได้ 100% มันต้องมีการถอยคนละก้าว เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
“ผมอยากจะให้พวกเราทำเพื่อประชาชน”
คําวิงวอนจาก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จึงเป็น “คำวิงวอน” ในยุคแห่งการเปลี่ยน
มาจากปากมหาบัณฑิตครุศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ผ่านประสบการณ์ ตรงจากสถานการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2516
ยืนเด่นเป็นสง่าในกระแสแห่งความขัดแย้งทางการเมือง