สุดารัตน์ บุกตลาด ปตท. ลั่นไม่เอาลุง ชูดันคลองไทย ดึงดูดนักลงทุน ‘น้องจินนี่’ ช่วยแม่อีกแรง ขอคะแนน ชูบัตรเครดิตประชาชน กู้ได้ถึง 50,000 บาท
เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่ตลาด ปตท. เขตจตุจักร คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย หมายเลข 32 พร้อมด้วยน.ส.ณิชชา บุญลือ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 8 หมายเลข 3 นายทวีชัย วงศ์ไพโรจน์กุล ผู้สมัคร ส.ส.ทม.เขต 7 หมายเลข 2 ลงพื้นที่พบปะประชาชน พ่อค้าแม่ค้า ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
โดยคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวย้ำนโยบายที่จะดูแลประชาชน ตั้งแต่เกิดจนแก่ ดูแลทุกช่วงวัย รวมถึงนโยบายเรียนฟรีจนจบปริญญาตรีอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เป็นหนี้กยศ.
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวย้ำจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคว่า ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อาสาเป็นทัพหน้าหยุดความขัดแย้งการเมือง 2 ขั้ว ซึ่งใครไม่เอาความขัดแย้งไม่เอาลุง ไม่เอาการรัฐประหาร ขอให้เลือกพรรคไทยสร้างไทย พรรค”ส” หมายเลข 32 จะเป็นพรรคที่มาสร้างทางรอด และนำชัยชนะ มาสู่ประชาชนทุกคน
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า พรรคยังมีแนวนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางขนส่งของโลก” (Golbal Gateway) โดยการผลักดัน“คลองไทย” เพื่อให้ไทยเป็น New Economic Corridor ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก และเร่งเชื่อมรถไฟความเร็วสูง BRI จากจีนลงมาถึงภาคใต้ เชื่อมมาเลเซีย ซึ่งไทยอยู่ในทำเลที่ที่ตั้งดีที่สุดของโลก ซึ่งปัจจุบันการเจริญเติบโตอยู่ในฝั่งตะวันออกและไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน
ดังนั้น จึงตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเดินทางและโลจิสติกส์ในอาเซียน เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย สร้างเครือข่ายคมนาคมขนส่งทางบก ทั้งทางราง ถนน ท่าเรือ เพื่อเชื่อมเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ด้วยเส้นทางเดินเรือ และเขตเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ผลักดันโครงการพัฒนาคลองไทยอย่างจริงจัง โดยจะศึกษาเชิงลึกถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็น New Engine สร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโต เป็นศูนย์กลางการลงทุนของคนทั่วโลก และเป็น New Global Economic Corridor ของภูมิภาคอาเซียนและของโลก
เมื่อถามว่าการผลักดันคลองไทย สอดคล้องกับนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ออกมาเมื่อปี 2556 ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อะไรจากนโยบายดังกล่าว คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีของดี 2 อย่างคือ ความเป็นไทย กับ ทำเลที่ตั้งของประเทศ เราจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและขนส่งของภูมิภาคและของโลก เศรษฐกิจเราถ้าไม่มีเครื่องยนต์ตัวใหม่ จะไม่สามารถสร้างจีดีพีแบบก้าวกระโดด วันนี้เพื่อนบ้านจีดีพี 5-8% ของเราต่ำมาก จึงต้องมีโครงการเพื่อดึงดูดการลงทุน
โครงการดังกล่าวลุงทุน 2 ล้านๆ แต่จะสร้างรายได้ 1 ล้านล้านต่อปี และจะทำให้รายได้ประชาชนพ้นกับดักรายได้ปานกลางใน 10-12 ปี สร้างจีดีพี 9% ต่อปี ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางขนส่ง เชื่อมรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากจีนไปมาเลเซีย
ถ้าไทยสร้างไทยได้เป็นรัฐบาล ตนจะไปพบประธานาธิบดีจีน เพื่อเจรจา เริ่มเส้นทางรถไฟจากหนองคายไล่ลงมา เร่งให้เสร็จใน 2 ปี เราจะผลัดดันการขุดคลองเชื่อมขนส่งมหาสมุทรอินเดีย กับแปซิฟิก ร่นเวลาเดินทางได้หนึ่งอาทิตย์ และจะทำให้เป็นเขตอุตสาหกรรมพิเศษใหญ่กว่าอีอีซีเป็นสิบเท่า เป็นแหล่งลงทุนของโลก ที่ต้องย้ายฐานการผลิตที่เกิดจากความขัดแย้งในพื้นที่ เราจะเป็นศูนย์กลางขนส่งของโลก สินค้าจะขึ้นเหนือส่งผ่านรถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ ไปตะวันออก ตะวันตกผ่านเรือ เราต้องหาจุดขายของประเทศให้ไปอยู่กับแผนที่การแข่งขัน
ขณะที่น.ส.ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ หรือ น้องจินนี่ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคไทยสร้างไทย หมายเลข 32 พร้อมด้วย นางศรัณยภัคร สุนทรปิยะกุลพัศ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 4 หมายเลข 4 ลงพื้นที่ตลาดรวมทรัพย์ เขตวัฒนา เพื่อขอคะแนนจากพ่อค้าแม่ขาย ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
น.ส.ยศสุดา กล่าวถึงนโยบายของพรรคโดยเฉพาะกองทุนเครดิตประชาชน หรือบัตรเครดิตประชาชน ซึ่งพี่น้องจะกู้ได้ ตั้งแต่ 5,000-50,000 บาทโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ติดเครดิตบูโร และดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1 ต่อเดือน กู้เพื่อนำไปตั้งตัวและ ปลดหนี้นอกระบบ ที่สำคัญ บัตรเครดิตประชาชนนี้ จะเป็นหลักประกันทางการเงินให้กับพี่น้องไปตลอดชีวิต นี่คือการทำนโยบาย ที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อเสียงแต่สามารถดูแลพี่น้อง ให้อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพไปตลอดชีวิต
ถ้าทุกคนมั่นใจคุณหญิงสุดารัตน์ เชื่อมั่น น.ต.ศิธา ทิวารี และพรรคไทยสร้างไทย ให้เลือกพรรคไทยสร้างไทย และผู้สมัครของพรรค จากทั่วประเทศ
น.ส.ยศสุดา กล่าวว่า ผู้ค้าบางราย ได้เข้ามาสะท้อนถึงสภาพการค้าที่ยังไม่กลับมาสมบูรณ์เหมือน ช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนหดหาย ประกอบกับต้นทุนการผลิตเช่นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงอยากฝากให้คุณหญิงสุดารัตน์ เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ รวมถึงปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นในช่วงที่พี่น้องผู้ค้า ต้องเผชิญกับการระบาดของโควิดยาวนานกว่า 3 ปี