ตอนนี้หันไปทางไหนก็มีแต่คนติดเชื้อไวรัส RSV กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ โรคนี้เป็นอย่างไร อันตรายมากกว่าไข้หวัดธรรมดาหรือไม่ และมีวิธีป้องกันอย่างไร Sanook! Health มีคำตอบจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขมาฝาก
โรค RSV คืออะไร?
โรค RSV หรือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus ที่ทำให้คนที่ติดเชื้อมีอาการคล้ายหวัด สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ โดยไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก หรือสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอหรือจาม ในประเทศไทยพบเชื้อไวรัสอาร์เอสวีได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว
กลุ่มเสี่ยงโรค RSV
การติดเชื้อทางเดินหายใจ RSV จะพบได้ในทุกกลุ่ม แต่อาการจะรุนแรงในกลุ่มคนต่อไปนี้
- เด็กเล็ก
- เด็กที่คลอดก่อนกำหนด
- ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ
- ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ
อาการของโรค RSV
อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ RSV ที่แสดงหลังสัมผัสถูกเชื้อไวรัสประมาณ 4-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีอาการ ดังนี้
- มีไข้
- ไอ
- มีน้ำมูก
- เจ็บคอ
- หากอาการรุนแรง จะหายใจเร็ว หอบเหนื่อยเนื่องจากปอดอักเสบ
- รับประทานอาหารได้น้อย
- ซึมลง
- อาการจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากผู้ป่วยเป็นเด็กเล็ก หรือคนชรา ที่ภูมิต้านทานต่ำกว่าปกติ
การรักษาโรค RSV
การรักษาส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการ ส่วนยาสำหรับการรักษาเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและยังไม่มีจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย
การป้องกันโรค RSV
ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี แต่เราสามารถป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้โดยวิธีต่อไปนี้
- หมั่นล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ เช่น ก่อนรับประทานอาหาร เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ติดเชื้อ เช่น ผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือปอดอักเสบ โดยเฉพาะเด็กที่คลอดก่อนกำหนด และทารกในช่วงอายุ 1-2 เดือน
- ไม่ควรใช้มือที่ไม่สะอาดมาป้ายจมูกหรือตา
- ไม่ควรใช้แก้วน้ำร่วมกันและหลีกเลี่ยงใช้แก้วน้ำที่ผู้ป่วยใช้แล้ว
- ทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังพบว่าเด็กที่ป่วยมาสัมผัสหรือเล่นของเล่นนั้นๆ
- สำหรับผู้ป่วย หากมีอาการป่วยควรหยุดพัก และปิดปาก จมูก เมื่อไอหรือจาม
- ทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ
- ดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำทำให้สารคัดหลั่ง เช่น เสมหะหรือน้ำมูก ไม่เหนียวจนเกินไป และไม่ไปขัดขวางการทำงานของระบบทางเดินทางหายใจ
ตามปกติแล้ว อาการของการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีในเด็กโตและผู้ใหญ่จะดีขึ้น หลังได้รับการรักษาเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น เช่น หอบ เหนื่อย รับประทานอาหารได้น้อย ควรรีบพาไปพบแพทย์