“โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันโควิด-19 แล้ว หลังจากรัฐบาลเพิ่งอนุมัติการฉีดวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่ 3 จากบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ให้กับชาวอเมริกันเฉพาะกลุ่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

และก่อนที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ปธน.ไบเดน กล่าวกับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวว่า “(วัคซีน) บูสเตอร์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การฉีดวัคซีน (เข็มแรก) ให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น”

ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ในเวลานี้ มีประชากรวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ราว 77% ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็มแล้ว พร้อมย้ำหลังการฉีดวัคซีนว่า “ไม่มีทางที่ประชาชนจำนวน 1 ใน 4 ของประเทศ จะไม่ได้รับวัคซีน”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) อนุมัติการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้กับประชากร 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่ปฏิบัติงานในด่านหน้า เช่น ครู เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข และผู้ที่ทำงานในส่วนที่มีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อโควิด-19 รวมทั้งผู้ที่มีอายุ 50 ถึง 64 ปีและมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว

ทั้งนี้ สหรัฐฯ จะฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค ครบโดสแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า มีชาวอเมริกันราว 20 ล้านคนที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ทันที ขณะที่มีผู้มีสิทธิ์อีกราว 60 ล้านคนที่จะได้รับวัคซีนนี้หลังรอครบกำหนด 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 2

ปธน.ไบเดน ประกาศไว้ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม ว่า ตนต้องการจะเห็นชาวอเมริกันทุกคนได้รับวัคซีนบูสเตอร์ ในเวลาที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา

แต่แผนดังกล่าวต้องชะงักไปช่วงหนึ่ง หลังคณะที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ปฏิเสธคำขอให้มีการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้กับประชาชนชาวอเมริกันทุกคน ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีหลักฐานพิสูจน์เรื่องความปลอดภัยและประโยชน์ของวัคซีนเข็มที่ 3 มากพอ จนกระทั่งคณะทำงานอิสระที่ดูแลเรื่องนี้อนุมัติการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิให้กับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะล้มป่วยหนักหากติดเชื้อโควิด ก่อนที่ CDC จะแนะนำให้เพิ่มกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนงานที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเข้าไปด้วย

อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ และขอให้สหรัฐฯ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่มีแผนดังกล่าวระงับการเดินหน้าฉีดวัคซีนไปก่อน เพื่อนำส่งวัคซีนที่มีเหลือไปยังอีกหลายประเทศที่ยังขาดแคลนอยู่

และเมื่อสอบถามผู้นำสหรัฐฯ เกี่ยวกับคำร้องขอขององค์การอนามัยโลก ปธน.ไบเดน กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า สหรัฐฯ นั้น “ทำหน้าที่ของตนมากกว่าที่หลายประเทศร่วมกันทำ” เพื่อส่งวัคซีนไปยังนานาประเทศทั่วโลกแล้ว