ฤดูแต่งตั้งโยกย้าย ประชาชนเห็นชื่อบิ๊กๆ จนตาลายบิ๊กโน่นไป บิ๊กนี่มา เดือนกันยายน บิ๊กเก่าเดินสายอำลา รับโล่รับเหรียญ เดือนตุลาคม บิ๊กใหม่เดินสายเยี่ยมเยียน ให้โอวาทตามที่ท่องมา
น่าเสียดาย ปีนี้ประชาชนไม่ค่อยตื่นเต้นผู้มีอำนาจวาสนา กลับจดจ่อว่า กรณีกิ๊ก ส.ว. ฝากเข้าตำรวจ ฝากคนใช้เข้าทหาร โอนชื่อไปชายแดนใต้ ได้ค่าเสี่ยงภัย เงินเพิ่มพิเศษ อายุราชการทวีคูณ หน่วยงานที่มีอำนาจมหาศาล กองทัพ ตำรวจ และ ส.ว.แต่งตั้ง จะรับผิดชอบอย่างไร
เพราะเท่าที่ฟังก็ได้แต่โยนกันไปโยนกันมา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โยนส่วนกลาง ส.ต.ท.หญิงแค่สมัคร ยังไม่ได้รับ แต่ได้ตังค์แล้ว อ้าว ทำอย่างนี้อีกกี่ราย งบ กอ.รมน.ปีละเกือบหมื่นล้านใช้อะไร การรับสมัครคนเข้าทหารเข้าตำรวจ ทำไมรับง่ายๆ ถ้าไม่ใช่ฝากเมียน้อย ฝากลูกฝากหลาน ทำตัวดีๆ ไม่เป็นข่าวฉาว คงมีอีกมากมาย
มันประจานความพังพินาศของอำนาจแต่งตั้งและรัฐราชการที่ใหญ่โตมโหฬารจาก 8 ปีรัฐประหาร คณะกรรมาธิการ ส.ว.ที่เคยประณาม “สภาผัวเมีย” ขอตัวเมียน้อยคนใช้มาเป็นที่ปรึกษา มาช่วยราชการ
“ส.ว.มีไว้ทำไม” ประชาชนเห็นแค่มีไว้โหวตตู่ มีไว้ขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ มีไว้โหวตคนในเครือข่ายอนุรักษ์เป็นองค์กรอิสระ (และไม่ให้คนคัดค้านควบรวมทรูดีแทคเป็น กสทช.) อย่างอื่นทำอะไรบ้าง นอกจากยกมือเป็นฝักถั่วให้รัฐบาล
ก่อนหน้านี้ iLAW ก็เพิ่งแฉ ส.ว.ฝากลูกหลานคนนามสกุลเดียวกัน ไปกินเงินเดือนเลขาฯ ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อน ส.ว. แบบสลับตัวกัน
250 ส.ว.อาจไม่ได้ฝากกิ๊กฝากคนใช้ทุกคน แต่ทุกคนมีคอนเน็กชั่น ทำอะไรก็ไม่ต้องแคร์ประชาชน เพราะเป็น ส.ว.ตู่ตั้ง รับใช้รัฐประหารตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แบบ ส.ว.คนดังได้เป็น ส.ว.สรรหา เป็น สนช. เป็น ส.ว. อย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางข่าวฉาว ก็มีภาพน่าตื้นตัน ผบ.ทบ.นำทหารไปช่วยชัชชาติป้องกันน้ำท่วม จับพลั่วช่วยทำกระสอบทราย เชื่อว่าจริงใจไม่ได้จัดฉาก แต่ประชาชนอยากถามว่า ถ้าปฏิรูปกองทัพลดกำลังพล กำจัดเด็กฝาก สะสางบัญชี “ทหารผี” ที่ชื่ออยู่ชายแดนใต้ จะมีงบเหลือให้บริการประชาชนมากกว่านี้ไหม
วันต่อมา ท่านยังประกาศ จะล้างภาพสนามม้าสนามมวยจากแหล่งพนันให้เป็นสถานที่รักษาศิลปวัฒนธรรมไทย
ชาวบ้านหัวเราะก๊าก น้ำเต้าปูปลาก็เป็นศิลปวัฒนธรรม เคยมีด้วยหรือ สนามม้าสนามมวยปลอดการพนัน ตรงกันข้าม เป็นแหล่งผลประโยชน์มาตลอดโดยอ้างสวัสดิการทหาร สวัสดิการทหารมีทั้งทีวี วิทยุ ของตัวเอง และสนามกอล์ฟทั่วประเทศ 36 แห่ง
จิตสำนึกของทหารเชื่อว่าตนเองสมควรมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชนและข้าราชการฝ่ายอื่น เพราะเป็นผู้พลีชีพ “เพื่อชาติ” ประชาชนมีหน้าที่จ่ายภาษี สนับสนุน บำรุงทหาร ให้ได้อาวุธที่ดีที่สุด ได้สิทธิสวัสดิการที่ดีที่สุด
ในสายตาทหาร ประชาชนคือผู้ด้อยกว่าที่ทหารจะต้องปกครองดูแล แต่ไม่ใช่ “รับใช้ประชาชน” ไม่ได้ถือว่าประชาชนผู้เสียภาษีเป็นนาย
ความเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้สู้รบพลีชีพ (ทั้งที่สมัยนี้ไม่ได้รบกับใคร) ทำให้ทหารมีสิทธิพิเศษเช่น มีห้องรับรองนายพล มีที่จอดรถนายพล ในโรงพยาบาลทหาร มีคะแนนพิเศษเวลาลูกหลานจะสอบเข้าเป็นทหาร หรือฝากฝังเข้าทำงานในหน่วยธุรการ
ขณะเดียวกันทหารก็ไม่ยอมวางมือจากความมั่นคงภายใน ปฏิบัติการจิตวิทยา จัดตั้งมวลชน ฯลฯ หมดพรรคคอมมิวนิสต์ก็หันมาสู้กับความคิดเสรีประชาธิปไตย ในกองทัพจึงล้นไปด้วยหน่วยงานตกยุค เช่น กอ.รมน. ฝ่ายกิจการพลเรือน ทหารพัฒนา
การปฏิรูปกองทัพจึงเป็นทิศทางที่เลี่ยงไม่ได้ และไม่ใช่ปฏิรูปตามใจกองทัพ ต้องปฏิรูปตามโครงสร้างประชาธิปไตยจากเสียงเรียกร้องประชาชนผ่านพรรคการเมือง ซึ่งควรจะมีเป้าหมายหลัก 3 ข้อ หนึ่ง เพิ่มประสิทธิภาพหน่วยรบ เลิกเกณฑ์ทหาร สองยุบหน่วยงานความมั่นคงภายใน ด้านการพัฒนา สาม ยุบหน่วยธุรการซ้ำซ้อน กำลังคนล้นเกิน
หันมาดูฝั่งตำรวจ ที่เพิ่งจะตั้ง ผบ.ใหม่ ก็อ้ำอึ้งเรื่อง ส.ต.ท.หญิง เข้าเป็นตำรวจได้อย่างไร จะชี้แจงเมื่อไหร่ก็ฝากชี้แจงแทนลูกแรมโบ้ด้วย ว่าเข้ารับราชการโปร่งใส สอบแข่งขันหมื่นกว่ารายได้ 20 คน อะไรทำนองนั้น
ตำรวจไม่เหมือนทหารตรงที่เส้นสายขวักไขว่กว่า ทหารคนนอกแตะไม่ค่อยได้ เช่น ส.ส.ฝากเด็กไม่ได้ แต่ ส.ว.ฝากได้เพราะมาสายทหาร ตำรวจมีตั้งแต่ตั๋วช้างไปถึงตั๋วผี ระดับสูงระดับท้องที่ เกี่ยวพันกับผลประโยชน์โดยตรง โยกย้ายรับตำแหน่งใหม่ก็เต็มไปด้วยกระเช้าผลไม้ คำเตือน-อย่าโยนกระเช้าทิ้ง เพราะข้างใต้รองกระดาษหนาเป็นปึก
ตำรวจเป็นกลไกสำคัญของรัฐอำนาจนิยม บิดเบือนความยุติธรรมเล่นงานคนต่อต้าน เช่นอ้างคำสั่ง ผบ.ตร.ยึดรถเครื่องเสียง ในฐานะของกลางที่ใช้ทำผิด ฐานใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษปรับ 200 บาท แต่ยึดรถเหมือนใช้ขนยาเสพติด ไม่ยอมให้ยึดก็ตั้งข้อหาต่อสู้ขัดขวางตำรวจ จับขังไม่ได้ประกัน
ตำรวจทหารใต้รัฐอำนาจนิยม พยายามรักษาภาพลักษณ์เข้มแข็งมีระเบียบวินัย ผู้นำสุภาพเรียบร้อย แต่เป็นกลไกรัฐประหาร กลไกปราบปราม ใช้อำนาจรุนแรงเกินขอบเขตจนประชาชนเกลียดชัง
แล้วความเสื่อมเน่าใน อภิสิทธิ์ฝากฝัง ผลประโยชน์ ก็ผุดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่พ้น