แรงงาน – ศึกษาธิการ ตีปี๊บเชื่อมบิ๊กดาต้าข้ามกระทรวง หนุนนักเรียน นักศึกษา มีงานทำ รองรับความต้องการของตลาด เผยนำร่องแล้ว 4 จังหวัด
วันที่ 27 มี.ค.2566 ที่วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี ต.บางพูด อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เป็นประธานการแถลงผลงานการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทำให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ ระหว่าง กระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงแรงงาน ในงาน“ศึกษาธิการ – แรงงาน ร่วมใจ สู่ไทยมีงานทำ”
โดยมี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ร่วมแถลงด้วย นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน รองผู้ว่าฯปทุมธานี กล่าวต้อนรับ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารสถานศึกษา สถานประกอบการ นักเรียน นักศึกษาหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปทุมธานี ร่วมให้การต้อนรับ
นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ได้มีนโยบายสำคัญในส่งเสริมการมีงานทำและพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ จึงลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทำให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2565 เพื่อบูรณาการในการส่งเสริมการมีงานทำพัฒนาศักยภาพนักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลายลง ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและบริการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สถานประกอบการมีความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น ความร่วมมือในระดับทวิภาคีระหว่างกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และสถานประกอบกิจการในครั้งนี้ จึงตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานให้กับภาคธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างตรงจุด วันนี้จึงถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่ทั้งสองกระทรวงได้มาร่วมแถลงผลการดำเนินงานจากความร่วมมือในการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทำให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นหน่วยงานหลักในการเชื่อมโยงข้อมูลกับกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านระบบบิ๊กดาต้า ที่มีข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ตำแหน่งงานว่าง ความต้องการแรงงานของสถานประกอบการ การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อให้ทั้งสองกระทรวงสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนนำไปวิเคราะห์ความต้องการแรงงานในอนาคต
ปัจจุบันได้นำร่องไปแล้วในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร สามารถเชื่อมโยงข้อมูลนักเรียน นักศึกษา แล้วจำนวน 658,455 คน ในส่วนของกรมการจัดหางาน ได้ใช้ฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้บริการจัดหางานผ่านแพลตฟอร์ม “THAI มีงานทำ” เป็นการอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และเพิ่มช่องทางให้นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการทำงานช่วงพาร์ทไทม์ (Part Time) หรือจบการศึกษาแล้ว ได้ลงทะเบียนเพื่อจับคู่ตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของตนเอง
ขณะที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้พัฒนาหลักสูตรเพื่อเชื่อมโยงมาตรฐานฝีมือแรงงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ up skill นักเรียน นักศึกษาก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานใน 12 กลุ่มเทคโนโลยี กว่า 2,500 หลักสูตร เกิดประโยชน์กับนักเรียน นักศึกษากว่า 593,329 คน
จัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานในสถานศึกษาครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 264 แห่ง มีนักเรียน นักศึกษาเข้ารับการทดสอบมากกว่า 250,000 คน ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอรับรองเป็นศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถ ตามมาตรฐานฝีมือแรงงานในสาขาอาชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ จำนวน 12,000 บาท ให้กับสถานศึกษาภาครัฐในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ส่งเสริมและพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี เชื่อมโยงการแข่งขันทักษะกับการแข่งขัน World Skills เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา มีสมรรถนะสูงตามมาตรฐานสากล
“ผลจากการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลร่วมกันของทั้งสองกระทรวงในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการพลิกโฉมการบูรณาการทรัพยากรไปสู่การพัฒนาศักยภาพ นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีสมรรถนะสูง เพื่อเป็นกำลังหลักในการพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป”รมว.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
ด้าน น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาหลักสูตร บุคลากรและครูผู้สอน ที่เหมาะสมในแต่ละบริบทของพื้นที่ ส่งเสริมการจัดอาชีวศึกษาด้านระบบทวิภาคและขยายผลไปยังสถานประกอบการ จัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน และศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถในสถานศึกษาให้ครบทุกจังหวัด รวมทั้งสนับสนุนในการวางแผนการผลิตกำลังคนที่ต้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในภาคเอกชน ผ่านระบบฐานข้อมูล บิ๊กดาต้า เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษามีงานทำ มีอาชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป