แม่โวยรพ.จ่ายคาลาไมน์ ติดฉลากผิดเป็นแคลเซียม ทำลูก 2 เดือนนอนไอซียู โรงพยาบาลยังไม่รับผิดชอบ หมอไม่ยอมบอกสาเหตุลูกป่วยเป็นอะไร
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “พี่ข้าวหอม น้องข้าวใหม่” โพสต์ภาพขวดยา ที่ระบุว่า เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ.กระบี่ พร้อมกับภาพเด็กทารก โดยมีข้อความระบุว่า “เด็กน้อยวัย 1 เดือน 12 วัน เตือนเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน เรื่องมีอยู่ว่า ลูกชายมานอนโรงพยาบาล เป็นเวลา 3 คืน 4 วัน เนื่องจากไม่สบายและเป็นไวรัสผิวหนัง หมอเลยให้นอนรพ. เพื่อให้น้ำเกลือและยาฆ่าเชื้อ
หลังจากหายแล้วในวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 คุณหมอบอกกลับบ้านได้ ก็เลยพาลูกกลับบ้าน กลับถึงบ้านประมาณ 13.20 น. ก็ให้ลูกนอน พอถึงเวลาบ่าย 15.00 น. ลูกตื่นให้ลูกกินนม อาบน้ำ หลังจากนั้นให้ลูกกินยา อ่านสลากยาแล้วว่า แคลเซียมรับประทานครั้งละ 1 เม็ด 1 เม็ด ก็คือ 1 ซีซี ของยาน้ำ อ่านเสร็จปุ๊บก็ฉีดยาใส่หลอดยา เพื่อจะฉีดให้ลูกรับประทาน ฉีดเข้าไปครั้งที่ 1 ลูกกิน ครั้งที่ 2 ลูกไม่กิน คายออกมา และร้องหนักมาก แม่เลยตกใจผิดปกติ เรียกให้พ่อมาดู
พ่อก็เลยลองชิมยานั้นดู สรุปคุณพ่อบอกว่าเป็นคาลาไมน์ และค้นหาตามกูเกิ้ลและสอบถามหลายๆ คน ปรากฏเป็นคาลาไมน์ ยาใช้ภายนอกห้ามรับประทาน หลังจากนั้นลูกมีอาการอาเจียน อุจจาระออกมาเป็นน้ำ จึงพากลับมาที่โรงพยาบาล คุณหมอให้แอดมิต นอนโรงพยาบาลจนทุกวันนี้ยังไม่ออกจากโรงพยาบาล เพื่อดูอาการน้องและน้องยังมีไข้ ถ่ายตลอดเวลาและทางโรงพยาบาลเดิม ส่งตัวน้องมาอยู่โรงพยาบาลภายในจังหวัดกระบี่ ณ ตอนนี้ น้องยังไม่ดีขึ้น ยังอยู่ห้องไอซียู
ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและฝากพี่ๆ น้องๆ ช่วยแชร์ออกไป เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมมากกว่านี้ค่ะ แค่อยากรู้ เด็กกินคาลาไมน์ไม่มีผล แล้วที่ล้ำไส้บว มเกิดจากอะไร???!!! อยู่โรงพยาบาลมา 20 กว่าวัน ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยคะ”
ด้าน น.ส.ขนิษฐา อายุ 24 ปี ชาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เจ้าของเฟซบุ๊ก และเป็นแม่ของเด็กที่กำลังป่วย กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา เธอพาลูกชายของเธอคืออายุ 2 เดือน ไปพบหมอที่ รพ.ประจำอำเภอ เพื่อตรวจสุขภาพเด็กแรกเกิด วันแรกที่ไปตรวจหมอบอกว่าลูกมีอาการไข้ อยากให้นอนรพ. ตนก็ให้ลูกนอนรักษาตัวที่ รพ.
จนวันที่ 2 ธ.ค. หมอให้กลับบ้านได้ พร้อมสั่งจ่ายยามาให้กิน วันแรกที่พากลับบ้าน ก็มาดูแลตามปกติและนำยาที่ รพ.จ่ายให้ มาป้อนให้ลูกกิน เป็นยาน้ำแบบขวด ซึ่งมีฉลากยาเป็นภาษาอังกฤษ ตนก็อ่านไม่ออก แต่อีกด้านของขวดจะเป็นฉลากยาภาษาไทย ซึ่งทางรพ.แปะมาให้ ระบุว่าเป็นแคลเซียม ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หรือ 1 ซีซี
ตนก็นำยาใส่หลอดป้อนให้ลูกกินตามคำแนะนำของ รพ. แต่ 1 ซีซี ต้องป้อน 2 ครั้ง เมื่อป้อนไปครั้งแรก ลูกก็กินปกติ แต่พอป้อนครั้งที่ 2 ลูกไม่ยอมกิน และเริ่มร้องงอแง เธอตกใจมาก จึงเรียกสามีให้มาดู สามีลองชิมยาดู ก็บอกว่าเป็นคาลาไมน์ ตอนนั้นจึงตกใจมาก ก็ลองถามเพื่อนบ้านที่รู้ภาษาอังกฤษ ให้ช่วยดูขวดยา เพื่อนบ้านก็บอกว่าเป็นคาลาไมน์ ยาสำหรับรักษาอาการโรคผิวหนัง ใช้สำหรับทาภายนอก
“ตอนนั้นตกใจมาก ไม่นานลูกมีอาการอาเจียน และท้องเสียถ่ายอุจจาระหลายครั้ง จึงรีบพาไป รพ.เดิมอีกครั้ง หมอก็ให้นอน รพ.ที่ห้องรวม นอนอยู่ 6 คืน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทางรพ.เองก็ไม่ยอมบอกความชัดเจนว่าลูกป่วยเป็นอะไร บอกเพียงอาการไม่หนัก และปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับคาลาไมน์ที่กินไป
จนวันที่ 7 ธ.ค. น้าสาวมาเยี่ยม และเห็นว่าลูกอาการยังไม่ดี จึงโวยวายขอให้ทาง รพ.รีบส่งตัวเด็กไปที่ รพ.อีกแห่ง ก็ไปนอนที่ รพ.นี้ จนวันที่ 11 ธ.ค. หมอก็ให้กลับบ้านได้อีกครั้ง โดยให้ใบรับรองแพทย์ ระบุว่า เด็กมีอาการผิวหนังอักเสบบริเวณถุงอัณฑะ ตอนนั้นก็คิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่พอกลับมาอยู่บ้านได้ 2 วัน ลูกก็ยังอาการไม่ดี ยังถ่ายเหลวตลอด” น.ส.ขนิษฐา กล่าว
แม่ของเด็ก เปิดเผยต่อว่า วันที่ 14 ธ.ค.หมอที่ รพ.หลังนั้นนัดให้มาตรวจอีกครั้ง ก็พาไปตรวจ หลังจากนั้นก็ให้นอนที่ รพ.เพื่อดูอาการ นอนอยู่ในห้องรวมอาการก็ยังไม่ดีขึ้น จนวันที่ 21 ธ.ค. พาลูกเข้าห้องไอซียู มาจนถึงวันนี้ก็ยังนอนอยู่ห้องไอซียู โดยหมอไม่บอกว่าลูกป่วยเป็นอะไรกันแน่ ซึ่งเธอและสามี ก็เริ่มกังวล ว่าลูกจะเริ่มอาการหนักขึ้น กลัวลูกจะเป็นอะไรไป
พยายามบอกหมอให้ช่วยทำเรื่องส่งตัวไปรักษาที่รพ.ที่รักษาได้ดีกว่านี้ เพราะเธอเองก็ไม่มีเงินพอ จะพาลูกไปรักษาเอง ต้องให้รักษาที่รพ.ของรัฐ ทางหมอของรพ.นี้ ก็ยืนยันว่ายังรักษาได้ ยังไม่ยอมส่งตัวไปรักษาต่อที่อื่น ทำให้ตนกังวลมาก จึงนำเรื่องมาโพสต์ เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยตนอยากให้ลูกได้ไปรักษา รพ.ในจังหวัดที่ใหญ่กว่า และมีศักยภาพมากกว่านี้
น.ส.ขนิษฐา กล่าวอีกว่า จนถึงวันนี้ ตนยังเชื่อว่าสาเหตุที่ลูกอาการหนักขึ้น น่าจะเกิดจากยาคาลาไมน์ที่กินไป แต่ที่ผ่านมาทาง รพ.ทั้ง 2 แห่ง ต่างปฏิเสธว่าไม่เกี่ยว แต่ตนก็ยังสงสัยว่าถ้าไม่ใช่ความผิด รพ. และทำไมทาง รพ.ประจำอำเภอ จึงโอนเงินมาให้ตนจำนวน 70,000 บาท และให้เงินติดตัวมาอีก 5,000 บาท ในวันที่ส่งตัวมา รพ.หลังนี้ อยากให้ทาง รพ.ช่วยอธิบายเรื่องนี้ ว่าตอนนี้ลูกตนป่วยเป็นอะไร อาการหนักแค่ไหน และออกมายอมรับผิดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วย