แม่คนหนึ่งในจีนฟ้องร้องลูกชายวัย 19 ปีของเธอในศาล หลังจากที่เขาใช้เงินที่แม่เก็บไว้จ่ายค่าเล่าเรียนเพื่อซื้อรถคันใหม่ให้แฟนสาว
ตามรายงานพบว่า “คุณหลิว” ผู้หญิงอายุ 41 ปี ที่อาศัยอยู่ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เลี้ยงดูลูกชายของเธอเพียงลำพัง หลังจากหย่าร้างกับสามี
ต่อมา เมื่อเธอจะแต่งงานใหม่ จึงโอนเงินทั้งหมด 500,000 หยวน เข้าบัญชีของ “เสี่ยวเว่ย” ลูกชายของเธอ เพราะทั้งหมดนี้เป็นเงินที่เธอเก็บเอาไว้เพื่อเขา และเธอไม่ต้องการให้สามีใหม่ของเธอมีข้อพิพาททางการเงินในอนาคต
โดยคุณหลิวไม่ลืมอธิบายให้ลูกชายฟังว่า นี่คือเงินที่เธอเก็บมาหลายปีเพื่อให้เขาใช้สำหรับไปเรียนต่อต่างประเทศ และเพราะเธอมีความหวังอย่างมากต่อความสามารถทางวิชาการของลูกชาย ดังนั้นจึงสัญญาว่าจะพยายามเก็บเงินเพิ่มอีก 500,000 หยวน หากเขาตั้งใจเรียน
อย่างไรก็ดี คุณหลิวยังคงเก็บสมุดบัญชีธนาคารของลูกชายเอาไว้ เพราะคิดว่าเขายังเด็กเกินไป แต่เธอก็ต้องตกใจมากเมื่อพบว่า ปีนี้ซึ่งเป็นปีที่เสี่ยวเว่ยกำลังจะไปเรียนมหาวิทยาลัย แต่จู่ๆ กลับมีการถอนเงินทั้งหมดออกจากบัญชีออมทรัพย์ดังกล่าว
เมื่อเธอติดต่อไปยังธนาคารเจ้าของบัญชี จึงทราบว่าลูกชายของเธอยื่นเรื่องว่าทำสมุดออมทรัพย์หาย และตั้งรหัสผ่านใหม่เพื่อถอนเงินออกจากบัญชี หลังจากนั้นเขาก็โอนเงินให้แฟนสาวแซ่หวู่ โดยใช้จ่าย 200,000 หยวน เพื่อซื้อรถยนต์และเดินทางไปกับเธอ
คุณหลิวขอให้ลูกชายและแฟนสาวของเขาคืนเงิน 300,000 หยวน ที่เหลือมา แต่พวกเขาปฏิเสธ โดยบอกว่าเงินนั้นเป็นของเขา เพราะเธอเก็บมันไว้เพื่อมอบให้เขา สุดท้ายผู้เป็นแม่จึงตัดสินใจฟ้องร้องลูกชายของตัวเองในศาล
ศาลพยายามที่จะประนีประนอมคดีระหว่างแม่และลูกชาย โดยโน้มน้าวเสี่ยวเว่ยว่าเงินจำนวนนั้นผู้เป็นแม่เก็บไว้เพื่ออนาคตของเขา ไม่ใช่เงินที่มอบเป็นของขวัญ และในเวลาเดียวกัน ศาลก็ชี้ให้คุณหลิวเห็นว่าเธอต้องเคารพความต้องการของลูกในการดำรงชีวิตอย่างอิสระ
จากนั้นแม่และลูกชายก็บรรลุข้อตกลง โดยเสี่ยวเว่ยตกลงที่จะคืนเงินส่วนที่เหลือให้กับแม่ ส่วนคุณหลิวก็ยืนยันว่าเธอจะยังคงจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพรายเดือนให้กับลูกต่อไป
เมื่อเรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมา ชาวเน็ตต่างเห็นใจคุณหลิวที่ต้องดูแลลูกชายที่ไม่เข้าใจความปรารถนาดีของแม่เลย โดยมีความคิดเห็นระบุว่า
“แม่เศร้าโศกมาก เธอสูญเสียทั้งเงินและลูก”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ใช้เงินกับเขาอีกต่อไป และมุ่งเน้นไปที่ชีวิตของตัวฉันเอง เพราะดูเขาจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว”