นับเป็นวิกฤต ที่ต้องรีบหาทางแก้ไข วันนี้(16มี.ค.) เว็บไซต์ IQAir รายงานคุณภาพอากาศและการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษ พบว่า ‘เชียงใหม่-ประเทศไทย’ ขึ้นอันดับ 1 เมืองฝุ่นพิษสูงสุดในโลก ตามด้วย ปากีสถาน, กานา, อินเดีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เมื่อดูภาพจากแผนที่จุดความร้อน หรือ hotspot จาก Nasa ก็พบว่าบริเวณประเทศไทยตอนบนและประเทศเพื่อนบ้าน มีจุดสีแดงกระจายอยู่เกือบเต็มพื้นที่ ซึ่งบริเวณประเทศไทยนั้น แม้ว่าจะมีจุดhotspot กระจายอยู่ แต่ไม่มากเท่าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว พม่า ที่บริเวณจุด hotspot กระจายอยู่เกือบทั้งพื้นที่ทให้ฝุ่นพิษที่เกิดขึ้นสร้างผลกระทบข้ามมายังประเทศไทยด้วย
เรื่องดังกล่าวกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และถกเถียงเรื่องวิธีการแก้ปัญหา เพราะหากประเทศไทยเข้มงวดในการเผา แต่ประเทศเพื่อนบ้านยังเป็นแบบนี้แน่นอนว่าผลกระทบย่อมเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยมีการติดแฮชแท้ก #saveแม่สาย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแก้ปัญหาร่วมกันเชิงมหภาคต่อไป
ด้านสถานการณ์การเผาป่าในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวังตลอดแนวไม่ให้ลุกลามเข้ามาฝั่งไทยแต่ก็ทำให้เกิดฝุ่นปลิวไปทั่วบริเวณ ขณะที่ภายในประเทศพบว่ายังคงมีการลุกไหม้ของไฟป่าโดยเฉพาะบนดอยปุยและอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก อ.เมืองเชียงราย และช่วงคืนที่ผ่านมาเกิดไฟไหม้อย่างหนักบนดอยหมู่บ้านแม่สาด ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าและชาวบ้านต่างเข้าสกัดไฟเพื่อไม่ให้ลามเข้าสู่ที่อยู่อาศัยตลอดทั้งคืน
ด้าน นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้ออกประกาศห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดเป็นเวลา 90 วัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.-15 เม.ย.นี้ โดยแจ้งให้หน่วยงานภาคส่วนได้เข้มงวดและหากมีการฝ่าฝืนจะต้องดำเนินคดีซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีลักลอบเผาในเขตพื้นที่ป่าจะต้องระวางโทษจำคุก 1 ปี ถึง 30 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-3,000,000 บาท นอกจากนี้ยังได้ชับ ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ทั้งการป้องกันการลักลอบเผาป่า การบังคับใช้กฎหมาย เพื่อลดการเผาในพื้นที่รับผิดชอบ