“สิงห์บลูส์” เชลซี ทีมจอมทุ่มแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ต้องพบกับผลการแข่งขันสุดผิดหวังเมื่อเป็นฝ่ายลงเล่นในบ้านแพ้ให้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 0-1 ชนิดที่ทำเอาแฟนบอลต้องช็อกไปตามๆ กัน เนื่องจากชื่อชั้น และตัวผู้เล่นเจ้าถิ่นได้เปรียบกว่ามาก เราลองไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นในเกมนัดนี้กัน
ระบบ 3 เซนเตอร์แบ็ก…เพื่ออะไร?
ทั้งที่สู้อุตส่าห์เปลี่ยนระบบกลับไปใช้สูตรพื้นฐานเร่งสีเร่งโต 4-2-3-1 ที่นักเตะดูคุ้นเคยกันดีอยู่ มาแล้วในเกมแซงชนะ เอเอฟซี วิมเบิลดัน 2-1 คาราบาว คัพ เมื่อกลางสัปดาห์ แต่มาเกมนี้ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ก็ยังคงวางระบบ 3 เซนเตอร์แบ็ก 3-4-2-1 ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง
แม้จะไม่ได้เกิดเสียงคัดค้านทัดทานอะไรมากมายในโลกโซเชียล แต่ก็ไม่พ้นที่จะต้องถามอยู่ดีนั่นแหละว่า กับการเจอทีมอย่าง ฟอเรสต์ มันจำเป็นขนาดไหนที่ต้องใช้ 3 เซนเตอร์แบ็ก ดิซาซี่-ซิลวา-โคลวิลล์ พร้อมด้วย 2 วิงแบ็กขนาบข้าง
ที่สำคัญ นี่คือ ฟอเรสต์ ที่ไม่มีตัวทีเด็ดอย่าง เบรนแนน จอห์นสัน ซึ่งโยกไปอยู่กับ สเปอร์ส แล้วด้วยในวันปิดตลาด
ออกสตาร์ทเกมด้วยรูปแบบนี้ จนเมื่อเสียประตูไปก็ยังไม่ปรับ เช่นเดียวกับที่เมื่อถึงนาทีเข้าตาจน ก็ยังคงเดิม
ในฐานะผู้เขียน คงไม่กล้าบอกว่าตัวเองเก่งกว่า โปเช็ตติโน่ แต่ถ้าสมมุติว่านี่คือเกม FM/CM เชลซี จะไม่ลงสนามด้วยระบบนี้แน่นอน หรือยิ่งเมื่อเกมงวดลง ยิ่งต้องถอดกองหลังออกเพื่อส่งตัวรุกลงไปเพิ่ม ไม่ใช่ให้กองหลังดันเกมขึ้นสูงมาช่วยงานหน้าบ้าน
Chelsea FC v Nottingham Forest – Premier League / David Rogers/GettyImages
ตัวกลางที่ยังไม่เข้ากัน
ชัดเจนว่า 3 มิดฟิลด์ต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบต่างกัน มอยเซส ไคเซโด้ เน้นรับ เล่นเกมเข้าปะทะ ตัดเกมบุกคู่แข่ง, คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ เชื่อมเกม เป็นตัวออกบอลแดนกลาง, เอ็นโซ เฟร์นานเดซ เปลี่ยนจากตัวเชื่อมเป็นตัวรุกเต็มกำลัง ขึ้นไปยืนสูงสนับสนุนหอกเป้า ในระบบ 3-4-2-1
อาจไม่ถึงกับตีตราว่าแย่หรือ “สอบตก” แต่สิ่งที่เห็นทั้งในเกมนี้และนัดก่อน ชัดเจนว่า 3 คนนี้ยังเล่นไม่ค่อยเข้าขากันเท่าไหร่ ยังต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และยังต้องใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับแท็กติกนี้ โดยเฉพาะ ไคเซโด้ เจ้าของค่าตัวมหาโหด 100+15 ล้านปอนด์ ยังไม่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่แท้จริง ยังไม่ใกล้เคียงกับฟอร์มพีคๆ สมัยอยู่ ไบรท์ตัน
ถามว่าเมื่อไหร่ที่ 3 คนนี้จะเฉิดฉาย ใครล่ะจะตอบได้ นอกจากรอดูกันไป
Chelsea FC v Nottingham Forest – Premier League / David Rogers/GettyImages
แดนหน้ามหาทื่อ
เอ็นโซ เฟร์นานเดซ เป็นนักเตะที่ดี ทักษะสูง คล่องแคล่ว จ่ายบอลเยี่ยม แต่คุณภาพในการจบสกอร์ บางทีคงสัก 4 หรือ 5 เต็ม 10
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง วูบวาบ รวดเร็ว พลิ้วไหวดั่งสายน้ำ แต่เมื่อถึงจุดชี้เป็นชี้ตาย ความเฉียบคมก็ยังเป็นปัญหา
นิโคลัส แจ๊คสัน ยิ่งนานวันยิ่ง “เผยไต๋” ชัด โดยเฉพาะจังหวะเฮือกสุดท้ายของเกม ที่ สเตอร์ลิ่ง ลุยถึงสุดเส้นหลังขวาแล้วตบมาให้เข้าฮอส “แอฟริกัน เนย์มาร์” ก็ดันงัดโด่งออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ
เช่นกัน ในฐานะผู้เขียน ไม่กล้าบอกหรอกว่าตัวเองเก่งกว่าแข้งอาชีพอย่าง แจ๊คสัน แต่จังหวะแบบนี้ ถ้าไม่กดดันตัวเองจนเกินไป ยิงไม่มองแบบ ฟีร์มิโน่ ก็เข้าได้
FBL-ENG-PR-CHELSEA-NOTTINGHAM FOREST / JUSTIN TALLIS/GettyImages
พลาดมากที่เสียลูกแรก
แรกสุดคือเจาะหลังบ้าน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (ที่ 3 เกมแรกโดนยิงไป 6 ลูก) ไม่เข้า และถัดมาคือเมื่อตัวเองโดนเจาะแล้ว ก็จัดเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของเกมนี้ไปในทันที
เพราะเมื่อ ฟอเรสต์ ยิงนำได้แล้ว มันก็ “เข้าทาง” และ “เข้าแผน” ของ สตีฟ คูเปอร์ ทันที ว่าจากที่เล่นตั้งรับอยู่แล้ว ก็ยิ่งถอยร่นไปรับลึก ตั้งกำแพงแน่น สองชั้นสามชั้นขึ้นไปอีก
ฟอเรสต์ ตั้งใจมาจากบ้านแล้วว่าจะ “รับรอโต้” และเมื่อได้ประตูในช่วงพอเหมาะพอเจาะต้นครึ่งหลัง ตลอดช่วงเวลาหลังจากนั้น นักเตะเจ้าป่าก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรอีกนอกจากรวมพลังกันต้านทานเอาไว้ให้อยู่
นั่นจึงเป็นเปอร์เซ็นต์ครองบอล 76:24% ที่ เชลซี เหนือกว่าลิบลับเมื่อจบเกม
FBL-ENG-PR-CHELSEA-NOTTINGHAM FOREST / JUSTIN TALLIS/GettyImages
แต่ก็ “สมควรแพ้”
แต่แม้จะครองบอลเหนือกว่า สร้างโอกาสจบมากกว่ากระจาย ชนิดที่ เชลซี มีโอกาสจบรวม 21 ครั้ง ส่วน ฟอเรสต์ แค่ 7 ครั้งเท่านั้น
ก็พูดไม่ได้หรอกว่าเกมนี้ เชลซี คู่ควรจะเป็นฝ่ายชนะ
เพราะจากโอกาสจบทั้งหมด 21 ครั้งนั่น พวกเขาทำให้นายด่านเจ้าป่า แม็ตต์ เทอร์เนอร์ ต้องออกแรงเซฟไว้แค่ 2 หนเท่านั้นเอง
แพ้แล้ว 2 จาก 4 เกมแรก ชัดเจนว่า เชลซี ยังไม่ได้ดีขึ้นจากซีซั่นก่อนสักเท่าไร
ยังดีหน่อยที่เข้าช่วงพักเบรคทีมชาติแล้ว กว่าที่เกมถัดไปจะมาถึง (17 ก.ย. เยือน บอร์นมัธ) ก็คงเป็นโอกาสดีของ โปเช็ตติโน่ ในการซักซ้อมเตรียมงานหลังบ้าน เพื่อไม่ให้เกมที่ออกทรง “ควรเป็น 3 แต้มเต็ม” อย่างนัดนี้ จบลงด้วยความน่าผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
FBL-ENG-PR-CHELSEA-NOTTINGHAM FOREST / JUSTIN TALLIS/GettyImages