"อาเดรียน มูตู" : (อดีต)เด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับความกดดันแบบที่ไม่ควรได้รับ

Home » "อาเดรียน มูตู" : (อดีต)เด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับความกดดันแบบที่ไม่ควรได้รับ

“ผมไม่ได้เป็นอาชญากร หรืออะไรอย่างนั้น” อาเดรียน มูตู อดีตดาวเตะโรมาเนียกล่าวเมื่อปี 2018

เขาคือดาวเตะที่ถูกคาดหมายว่าคือความหวังใหม่แห่งวงการฟุตบอลโรมาเนีย ด้วยการเล่นได้ทั้งสองเท้า ทักษะที่เหลือร้าย และการยิงประตูที่เฉียบคม จนถูก เชลซี เศรษฐีใหม่ในตอนนั้น ทุ่มเงินคว้าตัวมาร่วมทีมในปี 2003 

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นไม่ถึงสองปี สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นอดีต เมื่อมูตู ถูกจับได้ว่าเสพโคเคน ที่ทำให้เขาถูกแบนยาว 7 เดือน พร้อมถูกขับออกจากสโมสร

ในตอนนั้นหลายคนตราหน้าเขาว่าเป็นพวกขี้ยา ที่เลือกเอาอนาคตของตัวเองไปทิ้ง ด้วยการหันเหเข้าสู่ยาเสพติด ทว่า ความเป็นจริงอาจจะมีอะไรมากกว่าที่ทุกคนเห็น 

ติดตามเรื่องราวของเขาได้ที่นี่..

นิว จอร์จี ฮาจี 

โรมาเนีย ถือเป็นหนึ่งในชาติที่พบกับความซบเซาในวงการฟุตบอลมาอย่างยาวนาน เพราะหลังจากทำผลงานได้ดีที่สุดภายใต้การนำของ จอร์จี ฮาจี ซูเปอร์สตาร์ของพวกเขาที่ไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1994 พวกเขาก็ไม่เคยไปถึงจุดนั้นได้อีกเลย 

อย่างไรก็ดี ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 การมาถึงของเด็กหนุ่มนามว่า อาเดรียน มูตู ก็ทำให้คนโรมาเนียมีความหวัง เมื่อดาวเตะรายนี้มีฝีเท้าที่โดดเด่น จากทักษะที่ยอดเยี่ยม การจบสกอร์ที่เฉียบคม แถมยังยิงประตูได้ทั้งสองเท้า 

1

อันที่จริง มูตู เริ่มฉายแววมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น หลังประเดิมสนามให้กับ Argeș Pitești ทีมเล็กๆในบ้านเกิด ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี และทำผลงานได้ดี จนทำให้ทีมยักษ์ใหญ่ในประเทศอย่าง ดินาโม บูคาเรสต์, สเตอัว บูคาเรสต์ และ ราปิด บูคาเรสต์ ที่สุดท้ายกลายเป็น ดินาโม ที่ได้ลายเซ็นเขาไปครอบครอง 

แต่ลีกโรมาเนียดูจะคับไปสำหรับฝีเท้าอย่างมูตู เพราะหลังจากที่เล่นให้ดินาโมอยู่ 2 ซีซั่น ด้วยผลงาน 29 ประตูจาก 42 นัด เขาก็โดน อินเตอร์ มิลาน ทีมดังจากอิตาลีมาสู่ขอ และได้ย้ายไปเล่นในเซเรียอาในฐานะนักเตะสัญญาร่วมของงูใหญ่และ เวโรนา 

แม้ว่าผลงานกับทัพอินเตอร์อาจจะไม่เข้าเป้า เมื่อยิงไปเพียงแค่ 2 ประตูจาก 14 เกม แต่เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เมื่อได้สวมเสื้อเวโรนา หลังยิงให้ทีมไป 18 ประตูจาก 60 นัด จนถูก ปาร์มา คว้าตัวไปร่วมทีมในปี 2002 

และที่แห่งนี้ก็ทำให้เขาได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว เมื่อการจับคู่กับ อาเดรียโน โดยมี ฮิเดโตชิ นาคาตะ คอยปั้นเกม ทำให้เขายิงประตูได้อย่างถล่มทลาย มูตู ซัดไปถึง 22 ประตูจาก 36 เกม พร้อมช่วยให้ปาร์มา ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอล ยูฟ่า คัพ ได้สำเร็จ 

ผลงานอันร้อนแรงเช่นนี้ ทำให้ เชลซี เศรษฐีใหม่ที่เพิ่งถูก โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์ไม่รอช้า ดึงตัวเขามาร่วมทีมทันที ด้วยค่าเสียหาย 15.8 ล้านปอนด์ ที่ทำให้เขามีค่าตัวแพงเป็นอันดับ 4 ของนักเตะเชลซีในซัมเมอร์นั้น รองจาก เดเมียน ดัฟฟ์ (17 ล้านปอนด์), เฮอร์นัน เครสโป (16.8 ล้านปอนด์) และ โคลด มาเกเลเล (16 ล้านปอนด์) 

2

“สำหรับโรมาเนีย มันเป็นจังหวะที่ดีมากสำหรับฟุตบอลของพวกเขา” คอสติน สตูแคน นักข่าวจากหนังสือพิมพ์ Gazeta Sporturilor อธิบายกับ The Athletic 

“มูตูเซ็นสัญญากับเชลซี และ คริสเตียน คิวู เซ็นกับโรมาในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ฟุตบอลโรมาเนียในตอนนั้นดูเหมือนจะมีอนาคตที่สดใส ผู้คนต่างคาดหวังกับเด็กรุ่นใหม่และก้าวต่อไป หลังจากเคยไปถึงรอบ 8 ทีมในฟุตบอลโลก 1994”

“พรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่ได้รับความนิยม นักเตะโรมาเนียบางคนเคยไปเล่นที่นั่นในยุค 1990s อย่าง อิลี ดูมิเตรสคู, จอร์เจ โปเปสคู, แดน เปเตรสคู และ ฟลอริน ราดูซิโออู แต่ตอนที่มูตูเซ็นกับเชลซี มันคือความ ‘ว้าว ในที่สุดเราก็มีนักเตะดังที่ได้เซ็นสัญญากับทีมร่ำรวยอีกครั้ง’ มูตู ถูกมองว่าเป็นนิวฮาจี”

อย่างไรก็ดี มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย..

อนาคตที่พังทลาย  

การย้ายทีมของมูตู ไม่เพียงแต่สร้างความฮือฮาให้กับวงการฟุตบอลโรมาเนีย แต่มันยังทำให้เพื่อนร่วมทีมเชลซีต่างตะลึงกับฝีเท้าของเขา เพราะเขาคือนักเตะที่อาจเรียกได้ว่าระดับเวิลด์คลาสชุดแรก หลังการเทคโอเวอร์ของเสี่ยหมี 

“การจบสกอร์เขาสุดยอดมาก ตอนที่เล่นสนามเล็กหรือซ้อมยิง เขายอดเยี่ยมมาก เขาโดดเด่นจากการเล่นได้ทั้งสองเท้าและการโหม่ง” นีล ซุลลิแวน อดีตมือกาวเพื่อนร่วมทีมเชลซีย้อนความหลัง

“พูดได้ว่าเขาเป็นอีกระดับ เขาเป็นคนนักเตะชื่อดังและมีชื่อเสียงมาก มันคือความประทับใจแรก คุณคิดว่าเชลซีได้ทำสัญญาที่ยอดเยี่ยม เขามักจะอยู่ต่อหลังซ้อมเสร็จเสมอเพื่อซ้อมจุดโทษที่ทำให้ผมแฮปปี้ที่จะช่วยเขา”

3

มูตู ใช้เวลาไม่นานก็ปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้ เขาประเดิมประตูแรกได้ทันทีในนัดแรกที่ลงสนาม หลังซัดประตูชัยในเกมพบ เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนจะยิงตีเสมอ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในสัปดาห์ต่อมา และบวกเพิ่มอีก 2 ประตูในนัดเอาชนะ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ทำให้ 3 เกมแรกเขายิงไปถึง 4 ประตู 

ทุกอย่างมันกำลังไปได้สวย เขากลายเป็นขวัญใจแฟนบอลที่ทำให้ชื่อของเขาถูกแต่งเป็นเพลงบนอัฒจันทร์ และยิงประตูชัยให้ทีมได้ในเกมพบ เอฟเวอร์ตัน และ ลาซิโอ นอกจากนี้เขายังเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ไว ทำให้ห้องแต่งตัวครึกครื้นจากการสร้างบรรยากาศของเขา 

แต่หายนะก็มักมาเยือนเราโดนไม่ทันตั้งตัว เช่นกันสำหรับมูตู เมื่อหลังจากนั้นเขาได้รับบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ จนผลงานช็อตไปดื้อๆ และยิงไม่ได้ถึง 13 เกมจนถึงช่วงปีใหม่ ก่อนจะหลุดไปจากทีมตัวจริงในช่วงท้ายฤดูกาล

และการมาถึงของ โชเซ มูรินโญ ในฤดูกาลต่อมา ก็ทำให้เขาหมดอนาคตอย่างสิ้นเชิง เมื่อมูตู ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของกุนซือชาวโปรตุเกส เขาได้ลงสนามไปเพียงแค่ 2 นัด แถมยังขัดแย้งกับนายใหญ่ หลังฝืนคำสั่งไปเล่นทีมชาติในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 

4

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าเรื่องจะเลวร้ายลงไปอีก เมื่อในเดือนกันยายน 2004 เชลซี แถลงข่าวสุดช็อกว่า มูตู ใช้สารเสพติด ซึ่งก็คือ โคเคน ทำให้เขาถูกไล่ออกจากสโมสรทันที พร้อมกับถูกแบนยาวถึง 7 เดือน 

“เราอยากชี้แจงอย่างชัดเจนว่าเชลซีมีนโยบายต่อต้านยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เชลซีเชื่อว่าสโมสรมีความรับผิดชอบต่อสังคม แฟนบอล ผู้เล่น พนักงาน และผู้ถือหุ้นในเรื่องยาเสพติดมากกว่าจะมาคิดเรื่องทางการเงินของบริษัท” แถลงการณ์ของเชลซีระบุ 

ในตอนนั้นเขาถูกก่นด่าจากสังคม และถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขี้ยา ที่เอาพรสวรรค์ของตัวเองไปแลกกับความสุขชั่วคราวอย่างยาเสพติด 

ทว่า มันมีอะไรมากกว่านั้น..

บ่าที่หนักอึ้ง

แม้ว่าตอนที่ มูตู ย้ายมาร่วมทัพเชลซี จะทำให้ผู้คนชาวโรมาเนียพูดถึงแต่เขา ทว่าในอีกด้านหนึ่ง เขาก็ตกเป็นข่าวในหน้าบันเทิงของหนังสือพิมพ์บ้านเกิด หลังเผชิญกับชีวิตการแต่งงานที่ล้มเหลวกับ อเล็กซานดรา ดินู นักแสดงและพิธีกรชื่อดังของโรมาเนีย 

เขามาถึงลอนดอนในขณะที่กำลังเจรจาเรื่องการหย่ากับภรรยาในตอนนั้น ที่ทำให้เขาเริ่มต้นชีวิตในอังกฤษด้วยความโดดเดี่ยว โดยมีเพียง จิโอวานี และ วิคเตอร์ สองพี่น้องเบกาลี ที่เป็นเอเยนต์คอยอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น 

5

อย่างไรก็ดี มันอาจจะไม่ได้เป็นปัญหา ตราบใดที่เขายังทำผลงานได้ดีกับเชลซี แต่ทันทีที่เขาเริ่มยิงไม่ได้หลายเกมติดต่อกัน ความเปล่าเปลี่ยวนี้ก็ย้อนรอยมาเล่นงานเขา และกลายมาเป็นความเครียดที่แก้ไม่ตก 

เพราะถึงแม้ว่า มูตู จะเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้ดีในช่วงแรก แต่ความเครียดก็ทำให้เขาเปลี่ยนไป เขาเริ่มพูดน้อยลง และปลีกตัวจากเพื่อนร่วมทีมหลังซ้อม ไม่เพียงเท่านั้น การที่สนามซ้อมเก่าเชลซีในย่านฮาร์ลิงตัน (ทีมสิงโตน้ำเงินครามย้ายมาใช้สนามซ้อมปัจจุบันในย่านคอบแฮม เมื่อปี 2007) ถูกแบ่งออกเป็น 4 ห้องย่อยที่ทำให้นักเตะไม่ได้เจอกันทุกคน ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไป 

“ผมอยู่ห้องแต่งตัวคนละห้องกับอาเดรียน และแทบไม่เจอเขา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่เห็นเขามากนักนอกจากการซ้อม เพราะจากสิ่งที่ห้องแต่งตัวเป็น เราก็อยู่คนกลุ่มกันไปเลย” ซุลลิแวน กล่าวกับ The Athletic 

“มีนักเตะมากมายที่เข้าทีมมาตอนฤดูร้อนนั้น หลายคนพยายามปรับตัว หาเพื่อน และสร้างปรากฎการณ์ ไม่ใช่แค่อาเดรียน ทุกคนพยายามหากลุ่มที่เข้ากัน”

“ตอนนั้นส่วนใหญ่คือคนบริติชหรือไอริช เรามี ดัฟฟ์, สก็อตต์ พาร์คเกอร์, โจ โคล, เกล็น จอห์นสัน, เวย์น บริดจ์, ผม, แฟรงค์ แลมพาร์ด และ จอห์น เทอร์รี ก็อยู่ในนั้น หลายคนจึงรู้จักกันโดยมีคนอังกฤษเป็นตัวเชื่อม มันจึงง่ายสำหรับเราที่จะปรับตัวเข้าไป” 

6

อย่างไรก็ดี มันอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับมูตู และน้อยคนที่จะรู้ว่าเขาต้องเผชิญอะไร สตูแคน นักข่าวของ Gazeta Sporturilor ที่ตอนนั้นถูกส่งไปลอนดอนเพื่อทำข่าวเรื่อง มูตู บอกว่า เขาไม่เคยลืมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของเพื่อนร่วมชาติในตอนนั้นได้เลย

เพราะที่จริง มูตู ไม่ได้เพียงแค่ต้องทำผลงานให้ดีกับเชลซีเท่านั้น แต่เขาต้องพยายามยกระดับตัวเองขึ้นมาให้เทียบเท่ากับหรือเหนือกว่า จอร์จี ฮาจี ตำนานชาวโรมาเนีย ที่เคยค้าแข้งกับยอดทีมอย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลนา ให้ได้

มันคือการใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวังของคนทั้งประเทศ ที่ทำให้เขาต้องเดินตามรอยไอดอลของชาติ แถมการได้รับการสืบทอดเบอร์ 10 ในทีมชาติของ ฮาจี ยังเป็นสิ่งผูกมัดที่ทำให้เขาหนีไม่พ้น ในฐานะ “Next Hagi” หรือ ฮาจี คนต่อไป 

“ผมไม่ได้เตรียมตัวกับความกดดันแบบนี้ ผู้คนตัดสินว่าผมจะเป็นแบบนั้น (เดินรอยตามฮาจี) ตอนที่ผมไปเชลซี ผมยังเด็ก ผมมั่นใจมาก ผมเพิ่งจะมีฤดูกาลที่น่าทึ่งกับปาร์มา แต่อังกฤษมันเหมือนอีกโลกหนึ่ง ตอนที่ผมถึงลอนดอน ผมรู้ได้ว่าสุดยอดสโมสร สุดยอดทีม และนักเตะซูเปอร์สตาร์มีความหมายอย่างไร” มูตูกล่าวกับ Gazeta Sporturilor เมื่อปี 2018

นอกจากนี้ จากการที่เขาย้ายมาเล่นให้กับเชลซีในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ทำให้ทีมเต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกที่สโมสรกว้านซื้อมา ได้กลายเป็นดาบสองคมที่เพิ่มแรงกดดันที่เดิมมีอยู่แล้วให้มากขึ้นไปอีก 

7

“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตอนที่ผมเซ็นกับเชลซี มันคือจุดเริ่มต้นจริงๆของภารกิจของผม อาชีพจริงๆของผมเริ่มต้นตอนผมเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผู้เล่นที่ขึ้นไปถึงระดับนั้นจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนในระดับสูงในเรื่องทักษะทางจิตใจ” ดาวยิงชาวโรมาเนียกล่าวต่อ 

“ที่เชลซี ความอดทนกับผู้เล่นนั้นสิ้นสุดง่าย ไม่มีใครรอคุณ เรามียอดนักเตะ 25 คนในทีม และคุณก็ไม่มีเวลาที่จะชักช้าสักวินาทีเดียว คุณจะได้เล่นอีกไม่เกิน 2 เกม หากทำผิดพลาด” 

“คุณไม่สามารถโกรธหรือเสียใจได้ เพราะคู่แข่งของคุณหรือผู้เล่นในตำแหน่งเดียวกับคุณอาจจะดีกว่าคุณ คุณต้องเต็มร้อยในทุกเซสชั่น ถ้าผมทำไม่ได้ เครสโปทำได้เต็มร้อย ฮัสเซลเบงค์ก็เต็มร้อย ดิดิเยร์ ดร็อกบา ที่ย้ายมาในปีต่อมาก็เต็มร้อย คุณต้องจัดการกับความกดดันนั้น ในตอนอายุเท่านั้น ผมไม่ได้เตรียมตัวเลย ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับความกดดันนี้อย่างไร?”  

“ที่ดินาโม ผมโดนฝึกกับความกดดันเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่เหมือนกัน ถ้าคุณไม่ได้ฝึกภายใต้ความกดดันนั้น คุณก็จะไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรตอนที่ต้องเผชิญกับมัน” 

“เมื่อความกดดันเกิดขึ้น ความวิตกกังวลก็มาหาผม มันเป็นสภาวะของความวิตกกังวล ในช่วงเวลานั้นความกระตือรือร้นก็กลายเป็นความเหน็ดเหนื่อยทางจิตใจ จิตใจคุณก็จะว่างเปล่า แม้ว่าทางร่างกายจะทำได้ แต่ใจมันไม่ไป คุณก็จะไม่สามารถกระตุ้นตัวเอง ในช่วงเวลานั้นผู้เล่นก็จะมองหาอะไรบางอย่าง” 

8

และมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ มูตู หันเหเข้าสู่ยาเสพติด เดิมทีแล้วเขาเป็นคนเมาง่าย จึงพยายามมองหาอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกดี มูตูยอมรับว่า เขาเริ่มเสพโคเคนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2004 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาฟอร์มตก และใช้มันมาตลอด ที่แม้ว่า มูรินโญ จะพยายามเตือนอ้อมๆตั้งแต่วันที่รับตำแหน่ง แต่เขาก็ไม่หยุดใช้ 

ก่อนที่มันจะทำให้ตัวเขาและความเป็น “นักเตะเวิลด์คลาส” ต้องกลายเป็นเส้นขนาน..

บทเรียนจากคนไม่ดี  

หลังจากนั้น ชีวิตของ มูตู ก็ไม่เคยกลับไปอยู่ในจุดที่เคยเป็นอีกเลย เพราะแม้ว่าเขาจะทำผลงานได้ไม่เลวกับ ฟิออเรนตินา แต่มันก็ไม่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงที่พังไป มันเป็นเหมือนอดีตที่คอยหลอกหลอนและตามติดเขาไปทุกที่ 

แถมในปี 2006 ตัวเขาเองยังโดนเชลซี อดีตต้นสังกัดฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินสูงถึง 22.3 ล้านปอนด์ ก่อนจะโดนฟีฟ่าลดลงมาเหลือ 13.5 ล้านปอนด์ (ที่ปัจจุบันเชลซียังเก็บเงินจากเขาไม่ได้แม้แต่ปอนด์เดียว) 

9

นอกจากนี้ในปี 2010 เขายังมาโดนแบนซ้ำอีก 9 เดือน (อุทธรณ์เหลือ 6 เดือน) หลังจากตรวจโด๊ปไม่ผ่าน ในสมัยที่เล่นให้กับทัพม่วงมหากาฬ ที่แม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่โดนไล่ออกจากทีม แต่ก็ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่หลังกลับมา แถมยังสร้างเรื่องฉาวด้วยการโดดซ้อมหลายครั้ง 

และมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ความอดทนของ ฟิออเรนตินา ถึงคราวสิ้นสุด เขาถูกขายให้ เซเซนา และกลายเป็นแข้งพเนจรที่ตระเวนไปทั่วโลก หลังย้ายไปเล่นให้กับ อฌัคซิโอ (ฝรั่งเศส), เปรโตลุล โปรเอสติ (โรมาเนีย), ปูเณ เอฟซี (อินเดีย) ก่อนจะแขวนสตั๊ดกับ ทาร์กู มูเรส ในบ้านเกิดเมื่อปี 2016 ด้วยวัย 37 ปี 

หลายคนอาจจะคิดว่าชีวิตของเขาเป็นอย่างไรในตอนนี้? บางคนเดาว่าน่าจะตกต่ำสุดขีดจากคดีที่ก่อไว้ ทว่าไม่ใช่เลย แถมกลับตรงกันข้าม เพราะเขาเพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุนซือทีมชาติโรมาเนียชุดอายุไม่เกิน 21 ปี เมื่อปี 2019

มองอย่างผิวเผินอาจจะคิดว่าสมาคมฟุตบอลโรมาเนีย ต้องบ้าแน่ๆที่เอาคนที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาดูแลนักเตะเยาวชนของพวกเขา แต่ความจริงคือในวันนี้ มูตู เปลี่ยนไปแล้ว 

10

“ผมมีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ที่ผมเคยเป็น” มูตูบอกกับ The Athletic 

มูตู ในปัจจุบันกำลังมีชีวิตที่มีความสุข เขาแฮปปี้กับชีวิตครอบครัว หลังแต่งงานครั้งที่ 3 และมีลูก 5 คนให้ดูแล เขาบอกว่าเรื่องราวในอดีตคือบทเรียนสอนใจชั้นดีที่เขาจะไม่ยอมให้นักเตะที่เขาดูแลต้องเดินตามรอยเขาอย่างแน่นอน 

“ผมใช้ชีวิตไปตามทาง ผมตัดสินใจว่าผมจะเป็นคนใหม่” มูตู กล่าวกับช่อง English Breakfast Extra ของโปแลนด์ 

“ตอนนี้ผมเป็นพ่อคนและโค้ช ผมเป็นตัวอย่างสำหรับคนอื่น ผมหวังว่าผู้เล่นจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของผมและไม่ทำมัน” 

“ผมมีประสบการณ์ที่แย่ในชีวิต ผมเสียไปกับมัน แต่ผมก็กลับมาได้ ผมบอกผู้เล่นของผมว่าพวกเขาต้องเป็นนักฟุตบอลตลอด 24 ชั่วโมง ตอนที่พวกเขากิน ตอนที่หลับ ตอนที่ออกไปข้างนอก พวกเขาต้องคิดเสมอว่า ‘มันดีสำหรับเราจริงหรือ?’ และจะส่งผลต่อผลงานของพวกเขาหรือไม่” 

“ฟุตบอลเปลี่ยนไปมาก มันเป็นเรื่องกายภาพมากขึ้น จังหวะก็เร็วขึ้น นักฟุตบอลต้องเตรียมตัว 24 ชั่วโมง มันไม่พอที่จะทำในสองชั่วโมงในค่ายฝึกซ้อม” 

มูตู กำลังไปได้สวยในเส้นทางโค้ชของเขา หลังเพิ่งพาทีมหลังเพิ่งพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในยูโร U21 รอบสุดท้าย 2021 ที่ฮังการี ทว่าน่าเสียดายที่ต้องจอดเพียงแค่รอบแรก ทั้งที่ไม่แพ้ใคร หลังเก็บได้ 5 คะแนน เท่ากับ เนเธอร์แลนด์ และ เยอรมัน แต่ต้องพ่ายแพ้จากกฎเฮดทูเฮด

11

อย่างไรก็ดี มันคือจุดเริ่มต้นที่ดีในเส้นทางสายใหม่ของ มูตู สำหรับนักเตะที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตราหน้าว่าเป็นขี้ยา แต่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายมาเป็นคนที่สมาคมฟุตบอลฯให้ความไว้วางใจ 

นี่คือภาพสะท้อนชั้นดีว่าสิ่งที่เคยทำไว้ในอดีตอาจจะไม่สามารถลบเลือนได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพบกับอนาคตที่เลวร้ายทุกครั้ง เพราะตราบใดที่ยังได้รับโอกาส ชีวิตก็ยังมีพรุ่งนี้เสมอ

เหมือนกับที่คนบอกเอาไว้ว่า “แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่คนดีมากนัก แต่ใช่ว่าจะต้องเป็นคนเลวเสมอไป”

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ