แพท พัสสน มองเส้นทางดาราคล้ายกับนักกีฬา เมื่อถึงเวลาต้องเฟดตัวออก ปรับตัวอย่างเข้าใจไม่ยึดติดความสำเร็จในอดีต พร้อมแชร์ประสบการณ์ส่งเสริมคนรุ่นใหม่พิชิตความสำเร็จ
มาฟิตติ้งละครเรื่อง รักนาย MYRIDE ซีรีย์วาย ที่รับเล่นเป็นเรื่องที่ 2 เมื่อวันก่อน แพท-พัสสน ศรินทุ อดีตพระเอกชื่อดังดูเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงความหล่อ เท่ สมาร์ท เผยชีวิตที่ดูห่างหายไปจากวงการบันเทิงกับ Sanook.com อันที่จริงเขายังมีงานละครต่อเนื่อง แต่อาจเป็นเพราะ 10 ปีให้หลังมานี้ รับบทรองไม่ได้รับบทพระเอกแล้ว ทำให้เป็นที่สนใจน้อยลง จึงทำให้ดูเหมือนว่าห่างหาย
ดารานักแสดงลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ย้อนเส้นทางบันเทิงว่า เขาเข้าวงการตั้งแต่วัยทีน และโชคดีที่ได้รับบทเป็นพระเอกทั้งๆ ที่พูดภาษาไทยไม่ชัด ทุ่มเทให้กับการทำงานในฐานะนักแสดงอิสระ จนกระทั่งอายุราว 30 กว่าๆ เริ่มรู้ตัวเอง “เวลาของการเป็นพระเอกได้หมดลงแล้ว”
เขายอมรับอย่างเข้าใจ มองเส้นทางดาราคล้ายกับนักกีฬา เมื่ออายุการใช้งานมากขึ้นต้องถอยออกมาเพื่อเปิดทางให้กับคนรุ่นใหม่ หรือ ที่เรียกตามประสาชาวบ้าน “เก่าไปใหม่มา” เป็นเรื่องธรรมดาของวงการบันเทิง และอีกหลายๆ วงการ
“อันดับแรกงานน้อยลง อันดับสองช่องก็บอกว่า เดี๋ยวนี้มีเด็กใหม่ เราเริ่มรู้แล้ว พอเด็กใหม่ๆ เข้ามา แล้วเด็กใหม่ๆ ก็เริ่มเป็นพระเอก บทของเราไม่ได้เป็นพระเอกแล้ว น่าจะ 10 ปีแล้ว รับบทเป็นผู้ร้ายบ้าง เพื่อนพระเอกบ้าง เล่นเป็นลุงเล่นเป็นอาเล่นเป็นพ่อ”
“ผมรับได้ มันอยู่ที่เรามองโลกยังไง ถ้าเรามองในแง่บวกคุณค่าของเราก็ยังมีมากอยู่ ถ้าเรามองในแง่ลบตลอดทำให้รู้สึกว่าไม่มีคุณค่า และก็จะทำให้เรามองคนอื่นว่าไม่มีคุณค่าไปด้วย เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ตัวเรา และการมองของเรา”
“ส่วนตัวแล้วมองว่าชีวิตบันเทิง มันคล้ายๆ กับชีวิตนักกีฬา คือเราเล่นกีฬาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเรารู้ว่าเราเล่นกีฬา มันจะมีช่วงพีคของนักกีฬา พอนักกีฬาเขาเริ่มแก่ขึ้น ความเร็วก็ไม่มี ก็อาจจะสู้กับเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้ เขาก็จะเฟดออก”
“คือเรารู้ว่า การที่อยู่ในวงการ เขาชอบเด็กๆ วัยรุ่น หน้าเด็กๆ พอแก่ขึ้นหน่อย ยูแก่แล้วๆ เขาก็ไม่เอาเป็นพระเอกแล้ว ซึ่งที่ประเทศอื่น ประเทศสหรัฐอเมริกาเขาก็ยังยอมรับได้ 40 50 ขึ้น ก็ยังเป็นได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นทุกคน มันเป็นพวกท็อปๆ ซึ่งผมก็รู้ว่าผมไม่ได้เป็นท็อป เพราะตั้งแต่เล่นละครมาส่วนใหญ่ก็เล่นละครเย็น”
กาลเวลาเปลี่ยนไป อะไรต่อมิอะไรย่อมเปลี่ยนแปลง แพท บอกว่า เราต้องอยู่อย่างเข้าใจ อย่าไปเครียดกับความสิ่งที่เราไม่สามารถคอนโทรลได้
หลังจากไม่ได้รับบทพระเอก ทำให้มีเวลามากขึ้น เขาจึงมองหางานประจำทำ และโชคดีที่ได้เข้าทำงานประจำฝ่ายการตลาดห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง รับผิดชอบตลาดต่างประเทศ ดูแล และอำนวยความสะดวกสถานทูตที่ปักหลักในประเทศไทย เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจให้กับองค์กร แต่ก็ยังไม่ทิ้งงานละคร
ล่าสุดรับเล่นละครเรื่อง “รักนาย MY RIDE” ซีรีย์วาย ที่นำบทประพันธ์ชื่อดังมาสร้างเป็นละคร รับบทคู่รักชายชาย ที่ไม่จำกัดแค่วัยหวานใสๆ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็รักกันได้ในแบบของผู้ใหญ่ เตรียมเปิดกล้องถ่ายทำในเดือน ก.ย.64
แพท บอกว่า ที่ตัดสินใจรับเล่นซีรีย์วายเป็นเรื่องที่สองต่อจาก ฮอร์โมน ซีซั่น 3 เพราะคิดว่า มาถึงปี 2020 แล้ว เรื่องการเหยียดเพศควรหมดไปได้แล้ว และอยากมีส่วนในการแสดงให้เห็นว่า ความรักที่มีทั้งสุข และเศร้า คละเคล้าออกมาเป็นสีสันสวยงาม ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะคู่รัก ชายกับหญิงเท่านั้น
นอกจากนี้ยังรู้สึกดีที่จะได้ร่วมงานกับดารานักแสดงคนรุ่นใหม่ ส่วนตัวคิดว่า การที่เราไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถือว่า “โชคดี” ช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ทำให้ “ฉลาดขึ้น” เพราะในโลกกว้างใบนี้ ยังมีอะไรน่าสนใจให้ค้นหาอีกมากมาย
“ผมชอบการแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อให้เกิดการพัฒนา และยินดีที่จะแนะนำน้องๆ”
แพทแสดงให้เห็นว่า พร้อมที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ และแนวคิด ที่มีนับตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่วงการ เพื่อช่วยส่งเสริมคนรุ่นใหม่พิชิตความสำเร็จ
“ทุกวันนี้มีน้องๆ วัยรุ่นๆ นักแสดงใหม่ๆ ผมก็อยากจะมีโอกาสร่วมงานกับเขา ถือว่าโชคดี เพราะว่าถ้าเรามีโอกาสที่จะสัมผัสอะไร ที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน แล้วมันทำให้เราฉลาดขึ้น”
“โลกไม่ได้มีแค่ ไม่มีแค่เนี้ย มันกว้าง มันมีอะไรเยอะกว่านี้ที่น่าสนใจ ทำให้เรานึกถึงตอนที่เราเข้าในวงการแรกๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ให้บทเป็นภาษาไทย ผมต้องให้คนอ่านให้ แล้วผมเขียนเป็นคาราโอเกะ บางทีถ้าผมอยู่คอนโดฯ ไม่มีใครอ่านให้ ผมต้องลงไปข้างล่าง ไปถาม รปภ. ช่วยอ่านให้หน่อย เขาก็อ่านผมก็เขียน”
“หลังจากนั้นทำให้เราพัฒนา กับวัฒนธรรมไทย ภาษาไทย ตอนนี้เราอ่านได้ ก็รู้สึกว่า การที่มีโอกาสเข้าในวงการ ผมได้รับ เยอะมาก ซึ่งเราพยายามจะสอนเขา ถ้าเราตั้งใจทำงานคนก็จะเห็น แล้วก็เขาก็จะเอ็นดู”
ในการเปิดใจครั้งนี้ แพทบอกทิ้งท้ายว่า ชีวิตที่ไม่ยึดติดกับคำว่า “พระเอก” หรือ “ความสำเร็จในอดีต” ทำให้เขาปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อการดำเนินชีวิตไปมาก รวมถึงเรื่องความรัก จากที่เคยรักเผื่อเลือก เดี๋ยวนี้ รักเดียวใจเดียว โฟกัสไปที่การสร้างครอบครัวที่ยั่งยืน อีกทั้งยังมองว่า “ความรักที่สวยงาม” คือ “ความรักที่ซื่อสัตย์”
“ถ้าเราซื่อสัตย์กับแฟนของเรา เพื่อนของเรา ทุกอย่างก็จะดีนะครับ ผมรู้จักคนเยอะ แต่มีเพื่อนสนิทๆ กันไม่เยอะ คิดว่าแบบนี้มันดีสามารถคุยอะไรกันได้ เชื่อใจเขา เขาก็เชื่อใจเรา เขาก็อยู่ข้างเราตลอดเวลา”
ป็นคู่รักก็เหมือนกัน ถ้าเราซื่อสัตย์ คุยกันได้ทุกอย่าง เปิดเผย ไม่โกหก ไม่มีความลับกับเขาชีวิตก็จะมีความสุขสดใส ไม่ต้องทะเลาะกันไม่ต้องมาเถียงกัน ถ้าเราเอาโทรศัพท์มาปิดเสียงแล้วก็มีกิ๊กโน่นนี่นั่น มันจะสร้างความรำคาญ สร้างความลำบากกับเราและกับแฟน เครียดต้องมาหลบๆ ตลอดเวลา”
“เมื่อก่อนเคยเจ้าชู้ ตอนเข้าวงการแรกๆ เป็นพระเอกใครก็รู้จักเรา ไปเที่ยวทุกคืน ชีวิตมีแค่ละครกับไปเที่ยว สีสันบันเทิงก็เจอหลายคน และไม่อยากมีแฟนเป็นเรื่องเป็นราว อยากดูว่าคนนี้นิสัยเป็นยังไง คนนั้นนิสัยเป็นอย่างนี้ แล้วค่อยเลือก แต่สุดท้ายก็ไม่เลือกใครก็ไปเรื่อย”
“พอตอนนี้หายไปแล้ว ชอบอยู่บ้าน ถ้าออกไปข้างนอกไปฟังเพลงก็กลับบ้านเร็ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน มีแฟนคบกันมา 4 ปีแล้ว รู้สึกว่ามีความสุขกว่า ไม่ต้องมีอะไรต้องมาเก็บเป็นความลับ ไม่เคยทะเลาะกัน เราก็โฟกัสกับคนนี้ มีแพลนที่จะแต่งงานแค่คนนี้ตอนนี้”