ชาวเชียงใหม่ร้องสอบสวนกลาง เอาผิด บริษัทอสังหาฯหลอกขายซื้อที่ดินจัดสรรทิพย์ เสียหายหลายล้านบาท โอดเจ็บใจผ่อนฟรีไม่มีโฉนด
วันที่ 10 เม.ย. 66 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายนัตถ์ธนินทร์ สินเจริญ อายุ 51 ปี น.ส.กุลริสา มูณละศรี อายุ 39 ปี พร้อมด้วยตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายกว่า 10 คน เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.รัถย์ศานต์ ประจิตร์ รอง สว.สอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เพื่อแจ้งความเอาผิด บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หลังถูกหลอกขายที่ดินทิพย์ผ่อนฟรีไม่มีโฉนดอยู่จริงให้ จนสูญเงินรวมกันหลายล้านบาท โดยนำหลักฐานเป็นเอกสารสัญญาการซื้อขาย สลิปการโอนเงิน และเอกสารอื่น ๆ มาส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวนประกอบการพิจารณา
นายนัตถ์ธนินทร์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อปี 2564 ได้พบเห็นบริษัทดังกล่าวลงโฆษณาประกาศขายที่ดินจัดสรรราคาถูกจำนวนหลายโครงการในพื้นที่ อ.สันกำแพง และ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ประกอบกับเห็นว่าบริษัทดังกล่าวสามารถให้ลูกค้าผ่อนผ่านบริษัทได้ โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร รวมถึงมีโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ นาน 3 ปี และ จะมีการจัดทำระบบสาธารณูปโภค น้ำ ไฟฟ้า ในพื้นที่ภายใน 3 เดือน อีกทั้งยังมีที่ตั้งสำนักงานเป็นหลักแหล่ง จึงเกิดสนใจ ติดต่อขอซื้อที่ดินจัดสรรกับบริษัทดังกล่าว จำนวน 50 ตารางวา มูลค่า 3.5 แสนบาท พร้อมวางเงินดาวน์จำนวน 40 เปอร์เซ็นต์ของราคาที่ดิน
แต่พอผ่อนส่งค่างวดไปได้ 6-7 เดือน บริษัทกลับไม่ยอมทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้หลายเรื่อง และ ไม่มีการรางวัดที่ดินให้ชัดเจน จึงเริ่มเอะใจตรวจสอบกับกรมที่ดินจึงรู้ว่า ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนดังกล่าวและอีกหลาย ๆ แปลงนั้น ไม่ใช่บริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด และยังมีบางแปลงที่เจ้าของเดิมซึ่งไม่ใช่บริษัทดังกล่าว ได้ขายต่อให้กับคนอื่นไปแล้ว
ด้าน น.ส.กุลริสา กล่าวว่า ตนก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหาย ซื้อที่ดินจัดสรรผ่านบริษัทดังกล่าวจำนวน 250 ตารางวา มูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท ผ่อนชำระไปแล้วเป็นเงิน 1.2 ล้านบาท ก่อนจะมาทราบภายหลังว่าโฉนดที่ดินเป็นของบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ของบริษัทตามที่กล่าวอ้าง และ ยังมีการนำหน้าโฉนดที่ดินผืนเดียวกันไปหลอกขายให้กับคนอื่นอีก เมื่อทวงถามขอเงินคืนก็ถูกบ่ายเบี่ยง ประวิงเวลาเรื่อยมา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินกลับคืนแม่แต่บาทเดียว จึงเชื่อว่าถูกหลอก
อีกทั้งยังทราบว่านอกจากตนเองและยังมีผู้เสียหายรายอื่นตกเป็นเหยื่อลักษณะเดียวกันรวมกว่า 1 พันคน มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 50 กว่าล้านบาท ในวันนี้ตนและผู้เสียหายรายอื่น ๆ เฉพาะกลุ่มของตน จึงรวมตัวมาเข้าแจ้งความเอาผิดกับบริษัทดังกล่าว ในฐานความผิด ฉ้อโกงประชาชน เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นอีก
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ร้องไว้เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาควบคู่กับพยานหลักฐานที่นำมามอบ ก่อนส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป