เส้นทางทางการเมืองของ นายเทพไท เสนพงศ์ จะกลายเป็น “บทเรียน” สำคัญ
ไม่เพียงเป็นบทเรียนของ “นักการเมือง” คนหนึ่งซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ยังเป็น “นักศึกษา” หากแต่ยังเป็นเงาสะท้อนที่ดีของพรรคอันดำรงอยู่อย่างเป็น “สถาบัน”
นายเทพไท เสนพงศ์ เคยเป็น “ผู้นำ” นักศึกษา
เขาเคยเป็นนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง จากนั้นเข้าสู่การเมืองระดับชาติผ่านเส้นทางของพรรคประชาธิปัตย์
ความเป็น “ประชาธิปัตย์” จึงมีความหมายต่อ “เทพไท”
ความโดดเด่นของ นายเทพไท เสนพงศ์ ในยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สูงยิ่ง
แม้ว่าโดยพื้นฐาน นายเทพไท เสนพงศ์ อาจใกล้ชิด นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ที่ไม่เพียงแต่มีประสบการณ์จาก “รามคำแหง” หากเป็นคนนครศรีธรรมราชเหมือนกัน
กระนั้น ความรุ่งโรจน์เมื่อทำงานใกล้ชิด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่เพียงโดดเด่นในพรรคประชาธิปัตย์ หากแต่โดดเด่นผ่านการจัดรายการใน “บลูสกาย” ในยุคที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
สังคมจดจำได้จาก “คดีโฟร์ซีซั่น”
กระนั้น เส้นทางของ นายเทพไท เสนพงศ์ ก็มาสะดุดกับการต่อสู้ใน “นครศรีธรรมราช”
เพราะว่าความขัดแย้งอันทำให้เกิดคดีความและการต่อสู้ในทางคดีความก็นำไปสู่คำพิพากษาจำขัง 2 ปี ก็มาจากการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น
คนที่ฟ้องก็มาจากเส้นสาย “ประชาธิปัตย์” ด้วยกันในพื้นที่
สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า การต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งการเมืองท้องถิ่นในนครศรีธรรมราชมีความแหลมคมและไม่อาจประนีประนอมกันได้
จึงต้องฟาดฟัน จึงต้องฟ้องร้องเอาเป็นเอาตาย
ไม่มีใครชี้ได้ว่าหลังจากโทษ หลังจากติดอยู่กับคำตัดสินอนาคตจะเป็นไปอย่างไร
นายเทพไท เสนพงศ์ จะสามารถหวนคืนเข้าสู่เส้นทางการเมืองได้หรือไม่ และยังเดินไปบนเส้นทางของพรรคประชาธิปัตย์ไม่แปรเปลี่ยนหรือไม่
คำตอบจะได้มาก็ในอีก 2 ปีข้างหน้า
