ลูกชายโป๊งเหน่ง เผย พ่อเป็นไตวาย ดูดบุหรี่-ติดเค็ม รับแม่เครียด ลูกๆ ให้กำลังใจ เตือน เป็นอุทาหรณ์ (มีคลิป)
ลูกชายโป๊งเหน่ง / อัพเดตอาการป่วยโรคไตวายของดาราตลก โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม หลังฟอกไต 4 ครั้ง นายฐานุพงศ์ ศักดิ์ธนาวัฒน์ หรือ เฮงเฮง เชิญยิ้ม ลูกชาย ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดออนไลน์ถึงความเป็นอยู่ของคุณพ่อระหว่างการรักษาตัว เผยพ่อยังเดินได้อยู่ เพียงแต่เหนื่อยง่าย
อัพเดตอาการคุณพ่อหน่อย? “วันนี้คุณพ่อได้รับการเจาะคอ ทำการฟอกไตแล้ว ตอนนี้ฟอกไปประมาณ 3-4 ครั้ง ไม่ถึง 10 ครั้ง ฟอกไปแล้วก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ เหมือนได้ถ่ายเลือดเสียจากร่างกายออกไป เพราะว่าไตไม่สามารถทำงานได้ 100 เปอร์เซ็นต์เลยต้องใช้เครื่องในการฟอกไต อาการก็ดีขึ้นเรื่อยครับ ดูสดชื่นเรื่อยๆ”
รักษามากี่ปีแล้ว? “ตามข่าวก่อนหน้านี้ครับ ผมไม่แน่ใจ แต่ก็รักษาตัวมาเรื่อยๆ จนเช็กอาการดูแล้ว หมอก็บอกว่าไตมันไม่ไหวจริงๆ เลยต้องเจาะคอหรือเจาะช่องท้องในการฟอกไตช่วย เพราะมันมีหลายอย่าง ทั้งเบาหวาน ความดัน”
โรคนี้ไม่มีโอกาสที่จะหาย นอกจากจะได้รับการบริจาคไต? “จากที่ถามคุณหมอจากสภาพคุณพ่อ ไม่ได้เป็นไตธรรมดา เขาเรียกว่าเป็นไตวาย ไตวายคือคุณภาพของไตในการทำงานมันไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ คือไตทำงานได้น้อยมาก
แต่ในส่วนของเราเปลี่ยนไตคุณหมอยังไม่ได้พูดถึงตรงนี้ เพราะว่ามันยังไม่ถึงจุดตรงนั้น เขาหมายถึงว่ายังต้องทำการฟอกแบบนี้ไปก่อน อย่างคุณพ่อสภาพไตวาย คือเขาบอกว่ามันต้องฟอกไปตลอด ไม่มีสิทธิ์หายหรือหยุดฟอกครับ แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่คุณหมอ เพราะตอนนั้นเขาบอกพ่อยังไม่ถึงจุดนั้น เราเลยยังไม่คิดถึงตรงนั้น”
ทุกวันนี้คุณพ่อกินอาหารยังไง? “ต้องกินอาหารตามโภชนาการของคนที่เป็นโรคไต และอีกอย่างหนึ่งคือพ่อไม่เป็นโรคไตอย่างเดียว เป็นเบาหวาน ความดันด้วย การกินเลยต้องฟิกมากๆ ต้องดูแลกันอย่างดีมากๆ อย่างที่บอกไป แต่ถ้ากินได้คืออาหารที่ไม่ทำร้ายร่างกาย อย่าง อกไก่ที่ไม่มีหนัง ปลาไม่มีเกล็ด อาหารปรุงรสได้นิดหน่อยไม่เกิน 1 ช้อนชา และอาหารที่เป็นสีเข้มคุณหมอก็ไม่แนะนำ”
ก่อนหน้านี้คุณพ่อเป็นคนมีลักษณะนิสัยกินเค็มจัด? “ใช่ครับ สาเหตุของคุณพ่อก็คือเป็นเบาหวานมาก่อน คือพ่อเป็นคนที่กินน้ำอัดลมเยอะ กินแทนน้ำเปล่าเลยครับ กินอาหารรสจัดด้วย แต่รสจัดของคุณพ่อคือกินเค็มจัด คุณพ่อกินเค็มมาก เลยเป็นไต”
ที่บ้านต้องปรับเรื่องอาหารตามคุณพ่อ? “จะเป็นคุณพ่อคนเดียวครับ แต่พวกผมพอเห็นจากคุณพ่อแล้วทุกคนก็ปรับตัวกันหมด ผมก็มาลดน้ำหนักจากที่ลดมา 30 กิโลฯ แล้ว กลัวเหมือนกัน พาพ่อไปหาหมอก็กลัวว่าวันหนึ่งเราต้องเป็นโรคโน่นโรคนี้แบบพ่อ กลัวเหมือนกันเลยต้องลดน้ำหนักลงมาหน่อย ก็ดูแลกันไป แต่หลักๆ ก็คือเป็นน้องเป็นคุณแม่ในการเตรียมกับข้าว ก็ต้องทำอาหารสดใหม่ตลอดเวลา อาหารแห้งอะไรก็กินไม่ได้”
ได้ยินว่าคุณพ่อเดินไม่ค่อยได้? “เดินได้ไหม เดินได้ครับ แต่ไม่แข็งแรง เดินได้ไม่เยอะ เดินแล้วก็เหนื่อย เพราะว่าคนที่เป็นโรคไต พอไตมันไม่ทำงานเดินเยอะๆ แล้วมันเหนื่อยเร็ว เดินได้นิดหน่อยก็จะต้องหยุดต้องพัก ขาก็จะอ่อนแรง
ถามว่าเขาเดินได้ไหม เดินได้ครับ แต่ได้ไม่เยอะ 100 เปอร์เซ็นต์เหมือนคนทั่วไป ด้วยความที่ลูกๆ เป็นห่วง เวลาจะเข้าห้องน้ำก็ต้องให้เขาบอกให้เราประคองช่วย ไม่อยากให้เขาไปล้มในห้องน้ำก็ดูแลกันไปดีกว่า”
เห็นคุณแม่โพสต์ตัดพ้อ สภาพจิตใจเป็นอย่างไรบ้าง? “เขาก็ตามฟีลของเขา คือชีวิตเขา 2 คน สู้ชีวิตกันมา เขาไม่มีญาติ ไม่มีพ่อแม่ เขาก็สู้กันมา รักกันมาตั้งแต่วัยรุ่นก็ช่วยเหลือกันมาอยู่เป็นเพื่อน เป็นพ่อแม่ให้กันมาตลอดจนมีลูก เหมือนที่บ้านต้องปรับใหม่หมดเลยครับ ผู้นำครอบครัวหลัก ป่วย ไม่สบาย เรื่องรายได้มันมีผลกระทบอยู่แล้ว บางทีเขานอนด้วยกันก็จะปรึกษากัน
แต่ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องนอนแยกกัน เพราะบางทีเราไม่รู้ เราออกไปข้างนอกไปรับเชื้อโควิดมาหรือเปล่าเดี๋ยวจะมาติดพ่อ เราก็เลยพยายามจะแยกคุณพ่อให้นอนคนเดียวมาพักหนึ่งแล้ว เวลาเราไปรับเชื้อข้างนอกมาจะได้ไม่มาติดพ่อ พอเป็นอย่างนี้มันก็เลยเหมือนห่างกันนิดๆ แต่ก็อยู่บ้านเดียวกันนะครับ แต่คนละห้อง บางทีแม่เขาเลยมีฟีลแบบนั้น เพราะว่าพ่อกับแม่ผมเขารักกันมาก
เขาจะไปไหนมาไหน หาอะไรกินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ไปไหนตัวเขาติดกันตลอดเลยครับ แต่มาวันหนึ่งที่พ่อทำงานไม่ได้แล้ว ไม่สามารถพาเขาไปไหนมาไหนได้แล้ว มันก็เหมือนเขาคิดอยู่คนเดียวเรื่องหลักๆ บ้าน รถ หรือการบริหารเงินต่างๆ ของบ้านเราว่ามันจะยังไงดี จะใช้พอไหม เขาก็จะคิดคนเดียว การที่จะมีคู่คิดทำงานช่วยหาเงินเราก็เข้าใจคุณแม่ ในบรรดาลูกๆ ก็คอยให้กำลังใจกัน”
ตอนนี้ใครเป็นเสาหลักครอบครัว? “ช่วยกันดีกว่าครับ ไม่มีใครเป็นเสาหลักเพราะตอนนี้ทุกคนก็ต้องทำงานในบรรดาพี่น้องก็ช่วยกันทำงาน ดูแลกันไป เรียกง่ายๆ ว่าประคองกันไป ไม่ได้เดือดร้อนอะไร คือตอนนี้ผมอยู่ที่อยุธยา อาศรมฤาษีเณร บางทีอะไรที่ขาดเหลือ ท่านก็จะคอยช่วยดูแล เพราะอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว เขาก็คอยดูแลให้อยู่”
เห็นคุณพ่อเป็นแบบนี้ท้อแท้ไหม? “ถ้าถามว่าท้อแท้ไหม มันไม่มีเวลามาท้อแท้ครับ มันต้องทำ ต้องทำกันไป แก้กันไป ทุกวันนี้ต้องปรับชีวิต แล้วต้องปรับให้เร็วด้วย ต้องรับสถานการณ์ให้ทัน ต้องปรับตัวให้เร็วเพราะว่าพอคนในบ้านท้อทุกคนก็ต้องท้อไปหมด ทุกคนก็ต้องพยายามไม่ท้อ ทำไปเรื่อยๆ มันไหวแค่ไหน ผ่านมันไปวันๆ ก็ทำไปก่อน อย่างที่บอกตอนนี้ทุกคนก็ช่วยๆ กันไป”
เพื่อนๆ คุณพ่อตลกเชิญยิ้ม ฝากความห่วงใยยังไงบ้าง? “ฝากหาตลอด ผมต้องขอโทษผ่านพี่ๆ น้าๆ ทุกคน เพราะหลักเขามีเบอร์พ่อ แต่ตอนนี้เบอร์โทรศัพท์ของคุณพ่อไม่ได้ใช้แล้ว ปิดไปแล้วก็จะติดต่อพ่อยาก ก็กลัวพี่ๆ เขาจะคิดว่าผมปิดกั้นไม่ให้ติดต่อพ่อ ไม่ใช่นะครับ ถ้าอยากจะคุยกับคุณพ่อก็คุยได้เลยไม่ว่าจะเป็นทางโซเชียล เฟซบุ๊กถามมาคุยกับผมได้ อยากจะวิดีโอคอลกับคุณพ่อได้เลย
ถามว่ามีไหม มีประจำอยู่แล้ว น้านุ้ย เชิญยิ้ม น้าโย่ง ลุงเป็ด เขาก็คอยถาม คอยอัพเดตอาการกันอยู่เรื่อยๆ แต่ทางเราก็ไม่อยากเดือดร้อน รบกวนใครครับ เราจะบอกว่าโอเคอยู่ครับน้า ก็ดูแลกันอยู่ครับ ไม่เดือดร้อนอะไร แต่เขาก็ถามอยากจะหยิบยื่น ซัพพอร์ต ก็มีครับ แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมยังไม่ถึงจุดนั้นครับ เราทำของเราให้เต็มที่ก่อนดีกว่า
แล้วอีกอย่างหนึ่งพ่อเคยบอกไว้ก่อนที่เขาจะป่วยหนัก ว่าที่ไม่อยากออกข่าวหรือว่าอัพเดต เพราะไม่อยากให้ใครเป็นห่วง ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ใคร คำพูดจากคุณพ่อนะครับ เขาไม่อยากให้ไปวุ่นวายกับใคร หรือทำตัวให้น่าสงสาร นี่คือความคิดพ่อเขานะ เราก็เลยพยายามที่จะทำกันเองให้เต็มที่ก่อน สุดท้ายมันจะเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน”
มีอะไรอยากจะบอกคนที่ชอบกินเค็มไหม? “ดูแลสุขภาพด้วยครับ บอกตรงๆ ว่าครอบครัวเรายังไม่เคยมีคนที่ใกล้ชิดในเครือญาติที่ป่วยหนักเลย คุณพ่อเป็นคนแรก เลยอยากจะเตือนอย่างที่บอกว่าการกินเดี๋ยวนี้มันมีของที่ให้เรากินเยอะแยะมากมาย ก็ให้ดูแลสุขภาพด้วย กินได้ครับ แต่ขอให้รู้จักคำว่าพอ หรือว่าหยุดบ้าง อย่าตามใจปากตัวเอง เอาคุณพ่อผมเป็นตัวอย่างเลย
พ่อผมนี่ดื่มน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่าเลยทุกวัน ในตู้เย็นต้องมีน้ำอัดลม ไม่มีไม่ได้ พ่อกินแทนน้ำเปล่า ดูดบุหรี่วันละ 2 ซอง กินข้าวคำ น้ำปลาราดช้อนหนึ่ง ข้าวคำน้ำปลาราดช้อนหนึ่ง นี่คือพ่อผม กินแบบนี้เลย นี่คือวิถีของคนที่ผิด กินได้ก็ให้มันพอสมควรครับ แล้วก็คอยหมั่นตรวจสุขภาพ ดูแลร่างกายด้วยละกันครับ”
กินตามใจปาก? “ใช่ แล้วเป็นคนที่ดื้อด้วย ลูกเตือน เมียเตือน ไม่ฟัง ผมเชื่อว่าพ่อแม่หลายคนเป็นเหมือนกัน คือเขามีความคิดแบบโบราณว่ากินไป อยากทำไร ทำให้สุด แล้วไม่ต้องไปหาหมอ เพราะถ้าไปหาหมอเดี๋ยวเขาจะหดหู่ใจ เดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี้ ให้กินให้เต็มที่แล้วตายไปเลยทีเดียว พ่อแม่คนสมัยก่อนเขายังไม่เชื่อว่าพัฒนาการของการรักษาของคุณหมอ ถ้ารู้เร็วมันรักษาได้ ถ้าขั้นต้นมันรักษาได้
แต่อย่างคุณพ่อเขาไม่เชื่อ ไปหาหมอก็ไม่ไป เป็นโน่นเป็นนี้ไม่ไป เอาเลย อย่าให้รู้ อย่าไปตรวจเดี๋ยวถ้ารู้เดี๋ยวไม่มีกำลังใจ เดี๋ยวท้อ พูดง่ายๆ ว่าให้กูตายไปเลย แต่พอวันหนึ่งเราได้เตือนพ่อแล้วว่า แล้วถ้ามันไม่ตายล่ะ มันเป็นอย่างนี้มันจะลำบาก ลำบากตวพ่อเอง และทุกๆ คน มันเป็นผลกระทบ ถือว่าเป็นเคสอุทาหรณ์แล้วกัน ดูแลสุขภาพกันให้ดีนะครับ”