คุณคิดว่าสโมสรฟุตบอลทีมหนึ่ง จะสามารถแพ้ติดต่อกันได้มากสุดกี่นัด ?

นั่นอาจเป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจแฟนลูกหนังชาวไทยหลายคน เมื่อสัก 4 ปีก่อน ยามเฝ้ามองดู “ซุปเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ เอฟซี” พุ่งชนความล้มเหลวนัดแล้วนัดเล่า จนตัวเลขสะสมมาถึง 27 นัดที่พวกเขาต้องเจอกับความปราชัยอย่างเดียว 

ตลอดระยะเวลา 7 เดือน ซุปเปอร์พาวเวอร์ ไม่รู้จักคำว่าเสมอ หาไม่เจอคำว่าชนะ แพ้ทุกนัด และร่วงตกชั้นอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ยังเหลือโปรแกรมอีก 8 นัด เพราะต่อให้เก็บได้ครบ 24 คะแนนเต็ม ก็ไม่เพียงพอสำหรับการอยู่รอดบนลีกสูงสุด

นี่คือสถิติที่ไม่เคยมีสโมสรไหนในโลกฟุตบอลทำได้มาก่อน แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ กับทีม ซุปเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ” ในฤดูกาล 2017 ที่เต็มไปด้วยปัญหา ความวุ่นวาย ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นซีซั่น จนถึงฉากสุดท้าย ที่ต้องลงเอยด้วยการยุบสโมสรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 40 ปี

ใจสั่งมา 

“ซุปเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ เอฟซี” เป็นสโมสรที่มีรากฐานมาจาก “โอสถสภา” ทีมฟุตบอลเอกชนที่อยู่คู่กับวงการลูกหนังมากว่า 4 ทศวรรษ ผ่านการเปลี่ยนแปลง ย้ายถิ่นฐานบ่อยครั้ง ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจส่งมอบสิทธิ์ให้กับ กลุ่มทุนซุปเปอร์พาวเวอร์ ที่เข้ามาบริหารจัดการสโมสรตั้งแต่ปี 2015 

โดยในช่วงเลกสอง ฤดูกาล 2016 ได้มีการเปลี่ยนชื่อสโมสรอย่างเป็นทางการ จาก “โอสถสภา M-150 สมุทรปราการ” เป็น “ซุปเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ เอฟซี” เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ และสะดวกต่อการหาผู้สนับสนุนรายอื่น ๆ เนื่องจากชื่อทีมเดิม ผูกติดกับสินค้าจากเครือโอสถสภามากเกินไป 

อีกทั้ง โอสถสภา บริษัทแม่มีนโยบายองค์กรที่เปลี่ยนไป เพราะต้องการเลิกทำสโมสรฟุตบอล เพื่อหันไปลงทุนเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขัน ไทยลีก 2 แทน ซึ่งมีชื่อเรียกตาม Title Sporsor ว่า “M-150 Championship” มาตั้งแต่ฤดูกาล 2017 

Photo : GOAL

ส่วน ซุปเปอร์พาวเวอร์ หลังฤดูกาล 2016 ทิศทางสโมสรยังไม่มีความชัดเจน เคยมีข่าวว่าเจรจากับกลุ่มทุนจากจังหวัดสมุทรสาคร หรือ “เมืองมหาชัย” นำโดย กิระวิศว์ พิทยภูวนันท์ ประธานสโมสร สมุทรสาคร เอฟซี โดยจะควบรวมสองทีม ย้ายรังเหย้า และเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น “สมุทรสาคร ซิตี้ พาวเวอร์” วางแผนดึงผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ทีมชาติเมียนมาเพื่อสร้างกระแสอีกด้วย 

สุดท้ายดีลดังกล่าวล่มไป เนื่องจากไม่ผ่านหลักเกณฑ์คลับ ไลเซนซิ่งของ AFC ที่ห้ามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสโมสร เช่น สำนักงานใหญ่, ชื่อสโมสร, สีประจำสโมสร หรือการโอนหุ้นที่ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเปลี่ยนไป เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปีหลังได้รับใบอนุญาต 

ปลายปี 2016 ผู้บริหารชุดเดิมของ ซุปเปอร์พาวเวอร์ฯ จึงเปลี่ยนหันมากลับมาลุยต่อด้วยตัวเอง โดยมี พูนผล อัศวเหม นายกสมาคมกีฬาจังหวัดสมุทรปราการ ให้การสนับสนุน และเปรียบเสมือนศูนย์กลางในการหาสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนทีม ตามคำแถลงของสโมสร

แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2016 พูนผล อัศวเหม ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ทำให้แผนงานที่เตรียมวางไว้ในฤดูกาล 2017 ต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว “ซุปเปอร์พาวเวอร์” ขาดทั้งเสาหลัก และประสบปัญหาอย่างมากในการหาเงินทำทีม 

เมื่ออนาคตสโมสรยังไม่ชัดเจน บรรดาผู้เล่นตัวหลัก และดาวรุ่งลูกหม้อจาก โอสถสภาฯ เดิม ต่างพาเหรดย้ายออกจากทีม อาทิ ฉัตรชัย บุตรพรม, อภิภู สุนทรพนาเวศ, ศุภชัย ใจเด็ด, สมปอง สอเหลบ, ปัณณ์พันธุ์พงษ์ ปิ่นกอง, ศักดิ์ดา ฝ่ายอินทร์, บวร ตาปลา, จักรพงษ์ สืบสมุทร, ภัทร ปิยภัทร์กิติ

Photo : Osotsapa FC 

เหลือนักเตะเดิมแค่ไม่กี่คน อาทิ เอกพันธ์ อินทะเสน, เอกสิทธิ์ ฉาวบุตร, สุรเดช ธงชัย, ศักดา เจิมดี, อองโตนี โคเมน็อง, แซดนีย์ อูริโคป, วันใหม่ เศรษฐนันท์, กิตติภพ อุปชาคำ, อันตอนิโอ แวร์ซูรา ผสมผสานกับผู้เล่นใหม่ ที่ส่วนใหญ่เป็นแข้งฟรีเอเยนต์ยังหาสังกัดใหม่ไม่ได้ ทั้งจากไทยลีกและลีกรอง 

สุดท้าย ซุปเปอร์พาวเวอร์ มาได้ “เสก โลโซ” เสกสรร ศุขพิมาย ร็อคสตาร์มากฝีมือ เจ้าของเครื่องดื่มชูกำลัง “โลโซ-ดี” มาร่วมสนับสนุนทีมเป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอก จึงพอมีงบประมาณราว ๆ 70 ล้านบาท สำหรับเตรียมทีมลุยซีซั่น 2017 ซึ่งเป็นตัวเลขน้อยสุดในลีก

Photo : ThaiRath 

ต่อมาไม่นานนัก โลโซ-ดี  ได้ถอนตัวออกไประหว่างฤดูกาลยังแข่งขันอยู่ จนทำให้ทีมประสบปัญหาด้านการเงินยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก

ซมซาน 

ปัจจัยอย่างหนึ่งที่ฉุดให้ ซุปเปอร์พาวเวอร์ มีผลงานร่วงลงเหว คือระยะเวลาเตรียมทีมค่อนข้างน้อย เพราะกว่าที่สโมสรจะจัดทุกอย่างลงตัว ทั้งหาผู้สนับสนุน, เสริมนักเตะใหม่ ก็กินระยะเวลาไปหลายสัปดาห์ 

จนเหลือเวลาให้ “โค้ชหนุ่ย” เฉลิมวุฒิ สง่าพล เฮดโค้ชที่เข้ามาแทน ไพโรจน์ บวรรัตนดิลก ได้ปรีซีซั่นแค่ไม่กี่วันก่อนเปิดฤดูกาล 2017 แถมยังมีการเปลี่ยนแปลงขุมกำลังแทบยกชุด โดยในตลาดซื้อขายนักเตะเลกแรก ซุปเปอร์พาวเวอร์ มีผู้เล่นย้ายเข้า-ออก รวมกันถึง 32 ราย 

ซุปเปอร์พาวเวอร์ ออกสตาร์ทเกมแรกของฤดูกาล 2017 ด้วยการบุกไปโดน เชียงราย ยูไนเต็ด ถล่ม 4-0 ประตู ก่อนกลับมาเล่นในบ้าน ยันเสมอ บางกอกกล๊าส (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) แบบไม่มีสกอร์ หลังจากนั้นอีก 3 นัด “เดอะ พาวเวอร์” ก็แพ้รวดทั้งหมดต่อ สุโขทัย, บีอีซี เทโรศาสน (โปลิศ เทโร ในปัจจุบัน) และ ชลบุรี

Photo : Matichon

“เราเริ่มทีมช้า พอเราไม่มีผู้สนับสนุน และเราทำต่อ ทำให้ผมเชิญพี่หนุ่ย (เฉลิมวุฒิ สง่าพล) เข้ามาทำทีม เขาเป็นคนเก่า และโค้ชเก่าสมัยโอสถสภาฯ เราสนิทมักคุ้นมานาน เราบอกเขาว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” 

“เกมที่แพ้ บีอีซี เทโรศาสน เขา (เฉลิมวุฒิ สง่าพล) อยากจะเบรกตัวเอง กับแต้มที่ไม่ดี แต่ผมก็ขอให้สู้ต่อไป ก็ขอต่อมาถึงพักเบรค เกมกับชลบุรี พี่หนุ่ยก็อยากให้สโมสรลองหาคนอื่นมาทำงานแทน”

สุระพล ณ นคร ประธานสโมสรซุปเปอร์พาวเวอร์ฯ แถลงข่าวถึงการตัดสินใจลาออกของ เฉลิมวุฒิ สง่าพล ที่ต้องการรับผิดชอบต่อผลงาน 5 เกมแรกที่แพ้ไป 4 นัด 

ทีมได้ทาบทาม เจสัน วิธ ลูกชายของ ปีเตอร์ วิธ เข้ามาสานภารกิจต่อ แต่ก็คุมไปได้แค่ 12 นัด เจสัน ตัดสินใจอำลาสโมสรเช่นกัน เนื่องจากทีมแพ้รวดทุกเกม ยิงได้ 10 ประตู เสีย 38 ลูก รั้งอันดับสุดท้ายของตาราง  

เจสัน วิธ ประสบปัญหาที่ตามมาจากสมัย โค้ชหนุ่ย กับเวลาเตรียมตัวน้อย, นักเตะยังเล่นไม่เข้าขากันสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่หนักกว่า คือ สภาพจิตใจของผู้เล่นที่เริ่มดาวน์ลงไป ตามผลงานของทีมที่แพ้ติด ๆ กันถึง 15 นัด

ตลอดการคุมทีมของ เจสัน วิธ มีหลายเกมที่ ซุปเปอร์พาวเวอร์ เล่นได้ดีในครึ่งแรก กล้าเปิดเกมรุกใส่คู่แข่ง เคยขึ้นนำคู่แข่งก่อนถึง 2 เกม แต่พอเข้าสู่ครึ่งหลังกลับยืนระยะไม่ได้ โดนทำประตูเป็นประจำในครึ่งหลัง สุดท้ายจบ 90 นาที แบบไม่มีแม้แต่คะแนนเดียว

Photo : GOAL 

กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ระหว่างซีซั่น ในช่วงเลกสอง เมื่อมีกลุ่มทุนใหม่ นำโดย ปกรณ์ คล้ายเพ็ชร์ เข้าบริหารทีมต่อ โดยได้ตั้ง อภิสิทธิ์ ไข่แก้ว อดีตผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย มือขวาของ ซิโก้ – เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาทำหน้าที่แทน เจสัน วิธ ตั้งแต่เกมนัดที่ 18 ของฤดูกาล 

พร้อมทั้งเสริมนักเตะเข้ามาใหม่หลายราย อาทิ รัมเซส บุสโตส, รณชัย รังสิโย, พิริยะ นัยเนตร, อานนท์ สันหมาด, วันชัย สุวรรณอินทร์ และ เกดสะดา สุกสะหวัน นักฟุตบอลชาวลาว ที่ย้ายเข้ามาและออกจากทีมอย่างปริศนา ท่ามกลางกระแสข่าวอาจมีการจับมือกับกลุ่มทุนจากประเทศเพื่อนบ้าน เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมบริหารสโมสรในอนาคต 

“ผมพูดตามตรงว่าตอนย้ายเข้ามาเลกสอง ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ผมต้องการโอกาสที่จะลงสนาม เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ผมไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของสโมสรสักเท่าไหร่ ? แต่ก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเราไม่ชนะใครเลยตลอดเลกแรก มันเป็นไปได้อย่างไร ?” รณชัย รังสิโย หนึ่งในนักเตะซุปเปอร์พาวเวอร์ เล่าถึงช่วงเวลาที่ผลงานทีมตกต่ำถึงขีดสุด 

“ตอนนั้นก็เคยได้ยินคนภายนอกตั้งข้อสังเกตว่า สโมสรเรามีงานหรือเปล่า ? ทำไมถึงแพ้ติด ๆ กัน ตอนที่ได้ยิน ผมเองก็รู้สึกไม่ดีนะ เพราะมันไม่ใช่แบบนั้น ผมซ้อมอยู่กับทุกวัน ผมเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ? ทุกคนที่มีโอกาสลงสนามก็พยายามเล่นเต็มที่เพื่อให้ทีมชนะ แต่มันดันแพ้ ก็คงทำให้นักเตะเสียความมั่นใจไปบ้าง”

Photo : MThai 

“แต่พอผ่านมา 3-4 ปี ตอนนั้นถ้ามองย้อนกลับไป เออ ! ทำไมตอนผมเป็นผู้เล่นอยู่ ผมกลับดูไม่ออกเลยว่ามันมีความผิดปกติหรือเปล่า ? คงเป็นเพราะเรามุ่งมั่นกับการทำหน้าที่ในสนามอย่างเดียว”  

“จนกระทั่งแมตช์ที่แพ้ ศรีสะเกษ 1-3 ในบ้าน นั่นแหละที่ทำให้ผมเสียความเชื่อมั่น เราโดนนำก่อน 2-0 พี่เชอรี่ (เอกพันธ์ อินทะเสน) มายิงประตูตีตื้นได้ แต่พี่เชอรี่ กลับถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงที่ทีมต้องการประตูตีเสมอ” 

“หลังจากนั้น แทนที่ทีมจะใส่ตัวรุกเพิ่ม กลับเอากองหลังลงมาอีก สุดท้ายช่วงทดเจ็บเราโดนยิงเพิ่ม 3-1 ซึ่งลูกนั้นกองหลังชาวลาวถึงบอลก่อน แต่ไม่สกัด ปล่อยให้ทีมโดนยิง พอเห็นแบบนั้นแหละ นักเตะบางส่วน ลุกเข้าห้องแต่งตัวก่อนบอลจบเลย”

“หลังจากจบแมตช์นั้น นักเตะลาวก็เดินทางกลับไปเลย ทั้งที่ฤดูกาลยังแข่งไม่จบ เหมือนผู้บริหารทีมรู้ว่า นักบอลในทีมไม่เอา ผมไม่ได้กล่าวหาว่าเขารับงานนะ ? แค่รู้สึกว่ามันไม่ปกติเท่านั้นเอง”

ผลงานของ “ซุปเปอร์พาวเวอร์” ภายใต้การคุมทีมของ อภิสิทธิ์ ไข่แก้ว หนักยิ่งกว่าเดิม เพราะตลอด 9 เกมในลีก “เดอะ พาวเวอร์” ยิงได้แค่ 6 ลูก เสียไปถึง 54 ประตู ตกชั้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่นัดที่ 26 

ในจำนวนนั้นมีเกมที่พ่ายแบบขาดลอยหลายนัด อาทิ แพ้ บางกอกกล๊าส 0-8, แพ้ สุโขทัย 0-4, แพ้ พัทยา ยูไนเต็ด (สมุทรปราการ ซิตี้ ปัจจุบัน) 2-9, แพ้ ชลบุรี 1-4, แพ้ เมืองทอง ยูไนเต็ด 1-9, แพ้ นครราชสีมา 0-5, แพ้ พีทีที ระยอง 0-4, แพ้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 0-7 รวมถึงในบอลถ้วย ก็ตกรอบทั้ง ลีก คัพ และ เอฟเอ คัพ  

Photo : MThai 

นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเฮดโค้ชอีกครั้ง โดยได้ สุขสันต์ คุณสุทธิ์ มารับจ๊อบใน 8 นัดที่เหลือจนจบฤดูกาล 2017 

หลังจากรับงานคุมทีมไปได้ 4 เกม ในที่สุด “ซุปเปอร์พาวเวอร์” ก็ปลดล็อกคว้าชัยเป็นเกมแรกและครั้งเดียวในซีซั่นนั้น เหนือ ราชนาวี ด้วยสกอร์ 3-2 หยุดสถิติแพ้ติดต่อกันยาวนานสุดในโลกไว้ที่ 27 นัด แถมยังสามารถเก็บคะแนนเพิ่มได้อีก 2 แต้มจากการยันเสมอ ไทยฮอนด้า และ เชียงราย ยูไนเต็ด

8 นัดสุดท้ายในยุคของ สุขสันต์ คุณสุทธิ์ จึงถือเป็นช่วงเวลาที่ ซุปเปอร์พาวเวอร์ฯ เก็บคะแนนได้มากสุด ในซีซั่น 2017 มีสถิติตัวเลขน่าพอใจ แข่ง 8 เก็บได้ 5 แต้ม ยิงได้ 12 เสียไป 24 ประตู 

Photo : GOAL 

ซึ่งตัวเลขดีกว่าช่วง 9 เกมในยุคของ อภิสิทธิ์ ไข่แก้ว แบบครึ่งต่อครึ่ง ทั้งที่ใช้นักเตะแทบจะชุดเดียวกัน ? แถมนักเตะลงเล่นโดยที่ไม่ได้รับค่าเหนื่อยถึง 2 เดือน

เลิกแล้วต่อกัน 

หลังฤดูกาล 2017 ปิดฉากลง ปัญหาในมุ้ง ซุปเปอร์พาวเวอร์ ก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะบรรดาผู้เล่นหลายราย ต่างออกมาร้องเรียงผ่านโชเซียลมีเดีย และยื่นหนังสือไปทาง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เนื่องจากทางต้นสังกัด ยังค้างค่าเหนื่อยเป็นเวลา 2 เดือน

ท่ามกลางข่าวลือว่า ซุปเปอร์พาวเวอร์ กำลังขายสิทธิ์ให้กับกลุ่มทุนใหม่ บ้างก็ลือว่า อาจย้ายไปที่ จังหวัดเพชรบุรี หรือ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

แต่ที่มีมูลและชัดเจนสุดคือ กลุ่มทุนจากจังหวัดมหาสารคาม ที่เตรียมเทคโอเวอร์ โดยใช้สิทธิ์ ซุปเปอร์พาวเวอร์ฯ ลงเล่นในชื่อ “จัมปาศรี ยูไนเต็ด” มีการออกแบบชุดแข่ง สรรหาผู้เล่นเข้าสู่ทีม และเตรียมแผนงานสำหรับส่งทีมลุย ไทยลีก 2 ในฤดูกาล 2018 

Photo : Siamsport 

ก่อนจะถูกสมาคมฯ ตัดสิทธิ์ทิ้ง เนื่องจากเอกสารที่ยื่นขอใบอนุญาตมา ทางกลุ่มทุนใหม่ ยังไม่ได้เข้ามาควบคุมกิจการอย่างสมบูรณ์ รวมถึงปัญหาการติดค้างจ่ายเงินนักเตะเก่าและผู้ถือผลประโยชน์ร่วม คำร้องดังกล่าวจึงถูกปฏิเสธไป 

สิทธิ์ของ ซุปเปอร์พาวเวอร์ฯ จึงถูกปล่อยทิ้งไป ปิดฉากสโมสรไปโดยปริยาย … 

ส่วนนักเตะที่ออกมาทวงค่าเหนื่อย แม้เวลาจะผ่านมา 4 ปีแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่ได้รับค่าจ้างหรือเงินชดเชยจากอดีตต้นสังกัด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของสถิติโลกด้านที่ไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไหร่