‘ยุทธพงศ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ ไร้ภาวะผู้นำ ไม่กล้ายกเลิกสัญญาซื้อเรือดำน้ำจีน สร้างความเสียหายประเทศ แนะยับยั้งกองทัพอากาศซื้อ F–35A ชี้ไม่มีเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจ
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 ก.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงปมปัญหาโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทย วงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท ว่าเริ่มแรกบอกการจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นการจัดซื้อแบบ 2 แถม 1 แต่เวลาซื้อจริงเป็นการซื้อทั้ง 3 ลำ รวมมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท ตกลำละ 1.2 หมื่นล้านบาท เป็นเรือดำน้ำดีเซล รุ่น S26T ลำที่ 1 อยู่ระหว่างการดำเนินการต่อเรือ แต่ปัจจุบันเกิดปัญหาไม่มีเครื่องยนต์ดำเนินการก่อสร้างต่อ ส่วนลำที่ 2 ตั้งงบไว้ระหว่างปี 63 – 69 แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ซื้อ เพราะพรรคเพื่อไทยคัดค้านไว้
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ส่วนประกอบสำคัญที่สุดของเรือดำน้ำคือเครื่องยนต์ ซึ่งจีนไม่สามารถทำเองได้ ต้องติดต่อขอซื้อจากประเทศเยอรมนี แสดงให้เห็นว่าตอนทำสัญญาซื้อขาย กองทัพเรือไม่มีความรอบคอบระมัดระวัง จนเกิดความเสียหายต่อประเทศ ต่อมากองทัพเรือไทยได้หารือกับบริษัท CSOC ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายจีน ที่ได้เสนอเครื่องยนต์ของจีนรุ่น CHD 620 มาใส่แทน แต่กองทัพเรือไทยยืนยันต้องการเครื่องยนต์จากเยอรมนี
“นี่คือปัญหาที่เมื่อซื้อเรือดำน้ำแล้วไม่มีเครื่องยนต์ สร้างความเสียหายต่องบประมาณประเทศ เรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องรับผิดชอบ เพราะสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำยกเลิกได้ อีกทั้งในสัญญาระบุด้วยว่า ถ้าฝ่ายจีนไม่สามารถสร้างเรือดำน้ำให้เสร็จสมบูรณ์ตามสัญญาได้ ทางไทยมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าปรับ แต่สุดท้ายก็ไม่มีการแสดงท่าทีอะไร แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาทั้งที่สัญญาเปิดช่องให้” นายยุทธพงศ์ กล่าว
นายยุทธพงศ์ อภิปรายต่อว่า นอกจากเสียค่าโง่จากการจัดซื้อเรือดำน้ำลำแรก มูลค่า 1.25 หมื่นล้านบาทแล้ว ขณะนี้เรายังมีค่าโง่เรือดำน้ำอีก 2.1 หมื่นล้านบาท จากโครงการสนับสนุนเรือดำน้ำซึ่งจ่ายเงินไปแล้ว ถือเป็นเงินจำนวนมหาศาลหากเทียบกับภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ เราจ่ายไปแล้วแต่ยังไม่มีเรือดำน้ำ นี่คือสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรมว.กลาโหม ต้องรับผิดชอบ
นายยุทธพงศ์ อภิปรายอีกว่า ปี 65 กองทัพเรือขอจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับ (UAV) รุ่น Hermes 900 ซึ่งไม่มีอาวุธ และมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ จำนวน 3 ลำ พร้อมระบบอุปกรณ์ติดตั้งสำหรับปฏิบัติภารกิจ มูลค่า 4.1 พันล้านบาท แสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือต้องการใช้งบประมาณโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ และความจำเป็น อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ ตรวจสอบความคุ้มค่า และความโปร่งใสในการจัดซื้อ เพราะขณะนี้ยังไม่มีการเซ็นสัญญา และมูลค่าเกิน 500 ล้านบาท ต้องขออนุมัติจากกระทรวงกลาโหม ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ สามารถทบทวนได้
นายยุทธพงศ์ อภิปรายถึงการของบประมาณปี 66 ของกองทัพอากาศ เพื่อจัดซื้อเครื่องบินรบทางยุทธศาสตร์ F – 35A ซึ่งเป็นเครื่องบินรบรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถล่องหนหายตัวได้ บินด้วยท่วงท่าพิสดาร มีกล้องรอบตัวมองเห็นรอบด้าน บินเร็วเหนือเสียงได้นาน และเป็นเครื่องบินอวกาศสามารถควบคุม UAV ได้ แต่หากมองถึงความเหมาะสมท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
“เครื่องบินรบ F – 35A เป็นเครื่องบินเปล่าไม่มีอาวุธ ราคาลำละ 2.7 พันล้านบาท แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือค่าใช้จ่ายในการบินชั่วโมงละ 1.3 ล้านบาท ถามว่าจะเอางบประมาณที่ไหนมาใช้ในการฝึกบิน และถ้ากองทัพอากาศซื้อเครื่องบินรบดังกล่าว จะทำให้ไม่มีงบประมาณไปพัฒนาด้านอื่นๆอีกนานถึง 10 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ควรซื้อเครื่องบินรบรุ่นนี้ เพราะประเทศไทยเป็นหนี้มหาศาล” นายยุทธพงศ์ ระบุ
นายยุทธพงศ์ กล่าวสรุปว่า ตนเห็นว่ากองทัพอากาศไม่มีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของประเทศขณะนี้ประชาชนติดโควิด – 19 จำนวนมาก แต่ไม่มียาดีรักษาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นกว่า ประกอบกับท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลควรนำเงินไปช่วยเหลือประชาชนก่อน พล.อ.ประยุทธ์ต้องสั่งให้กองทัพอากาศเลื่อนการจัดซื้อออกไป ยุคที่คนไทยกำลังอดอยากหิวโหย แต่ท่านกลับอนุมัติให้ซื้อเครื่องบินรบ จึงไม่อาจไว้วางใจให้ท่านอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้