นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล กล่าวถึงคลิปการประชุม ผู้ถือหุ้นสื่อไอทีวี และกระบวนการขัดขาเพื่อไม่ให้นายพิธาขึ้นสู่นายกรัฐมนตรี ในขณะนี้มีข้อมูลหรือยังว่าใครอยู่เบื้องหลัง ว่า ตามที่เคยได้โพสต์ไปก่อนหน้านี้ในโซเชียลมีเดียว่ามีกระบวนการที่จะฟื้น itv ขึ้นมาก่อนที่จะมีคลิปด้วยซ้ำ
เพราะมีคนส่งข้อมูลมาให้ตนมากกว่าที่เห็นอยู่ในคลิป ซึ่งเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่ทำเอกสารตามประชุมกับคลิป ก่อนที่จะมีการเปิดเผยต่อสาธารณชน ขณะนี้คณะทำงานกฎหมายของทางพรรคได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากคนที่เกี่ยวข้อง ในกระบวนการเหล่านี้ที่ส่งข้อมูลเข้ามาให้
ส่วนที่กกต.มีการหยิบมาตรา 151 มาวินิจฉัยนั้ ก็ไม่ได้หลุดไปจากฉากทัศน์ที่เราคิดเอาไว้แล้ว เพราะเกิดขึ้นกับนายธนาธรมาก่อน อาจจะมีการเข้าชื่อของส.สเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาหรือศาลอาญาด้วย ซึ่งถ้าใครติดตามการเมืองก็น่าจะเดาออก ว่าอาจจะมี 3-4 ช่องทางที่จะเกิดขึ้น แม้ขณะนี้จะมีคนส่งข้อมูลมาถึงพรรคจำนวนมาก กับความไม่ชอบมาพากล
แต่เราก็ยังไม่ฟันธงอะไร และตรวจเช็คข้อมูลและคลิปต่างๆว่าถูกต้องหรือไม่ และยืนยันว่าหลักกฎหมายพร้อม หลักฐานพร้อมที่จะสู้ เมื่อเข้าสู่กระบวนการ ส่วนกกต.จะเอาคลิปมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาคดี ด้วยนั้นตนเห็นจากข่าวว่านายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งบอกเพียงว่าอาจจะนำเข้ามาประกอบการพิจารณา
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีของนายธนาธร ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก่อนการแจ้งข้อหาตามมาตรา151 แต่ของนายพิธาได้มีการตั้งกระบวนการสอบก่อนที่จะส่งศาลวินิจฉัย ทำให้มองว่า ศาลอาจสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนที่จะมีการหมดนายกรัฐมนตรีนั้น นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นประเด็น
เพราะเชื่อว่า การให้ข่าวของนายวิษณุเครืองาม รองนายกรัฐมนตรีน่าจะคลาดเคลื่อน เพราะเมื่อปี 62 ตนจำได้ว่าแม้นายธนาธรจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็ยังสามารถเสนอชื่อเลือกนายกได้อยู่ดี ดังนั้นจึงมองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการพิจารณา มาตรา151 ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
เมื่อถามว่า คลิปการประชุมผู้ถือหุ้น itv กับ บันทึกการประชุมที่ไม่ตรงกันอาจจะมีน้ำหนักไม่มากพอ ที่จะมาใช้ตามกฎหมาย หรือลบล้างข้อกล่าวหาการถือหุ้น itv ของนายพิธาได้นั้น นายพิธา กล่าวว่า จะต่อสู้ในทุกรายละเอียด ทุกขบวนความ และส่วนตัวเชื่อว่า สังคมน่าจะเทียบคดีย้อนหลังดูได้ ว่าศาลตัดสินออกมาอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นศาลฎีกา ศาลอาญา ศาลรัฐธรรมนูญ ว่าตัดสินด้วยบรรทัดฐานแบบไหน ก็จะต่อสู้ในแนวทางแบบนั้น ก่อนจะย้ำว่าตนมั่นใจในพยานหลักฐานและหลักกฎหมาย โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นความไม่ชอบมาพากล ความพิรุธในความพยายามสร้างหลักฐานขึ้นมาใหม่ ยิ่งทำให้มั่นใจว่าจะต่อสู้คดีได้ ทุกรูปแบบ
เมื่อถามว่างบการเงินที่มีการยื่นให้กับกรมพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นรายได้ที่มาจากสื่อ จะทำให้นายพิธา เพลี่ยงพล้ำหรือไม่ นายพิธา ตอบว่า ไม่ แต่ขอรับไปตรวจสอบดู ตามกฎหมาย ขอให้เป็นเรื่องของคณะทำงานด้านกฎหมาย เมื่อถามว่า ในที่ประชุมกรรมาธิการของวุฒิสภา มีการพูดถึงมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ หากมีการรับรอง ส.ส.แล้ว จะมีการเปิดช่องให้ ส.ส.หรือ สว. เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกแต่ละสภา
เพื่อส่งให้ประธานของสภานั้นๆส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของนายพิธา ได้ นายพิธา ยอมรับว่า เป็นสิ่งที่เราคิดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น ที่คิดไว้อยู่ว่าจะเป็นการสกัดกั้น ไม่ให้ตนเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่ว่าจะสกัดกั้นอย่างไร ก็ไม่ทำให้การเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหมดไป
นายพิธา ยังยกไทม์ไลน์ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2562 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก่อนโหวตเลือกนายกฯ ก็ยังสามารถที่จะส่งชื่อโหวตในที่ประชุม เพราะความเป็น ส.ส.กับแคนดิเดตนายกไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
ส่วนที่มีกระแสข่าว ว่าก่อนหน้านี้เคยมีเจ้าหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร เตือนว่า หากยังถือครองหุ้นไอทีวีอยู่ จะเป็นปัญหา ในอนาคต นายพิธายืนยันว่าไม่เคยมีเจ้าหน้าที่คนใด ทักท้วงหรือเตือนตนเองมาก่อน ขณะเดียวกันตนเองก็ได้ พูดคุยสอบถามกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมาโดยตลอดซึ่งก็ไม่มีปัญหา
ส่วนการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหลังจากการพ้นตำแหน่ง สส. ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลต่างๆอย่างละเอียด เพื่อให้รอบคอบที่สุด ก่อนที่จะยื่น ให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ ภายในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ตามระเบียบของ ป.ป.ช.
อย่างไรก็ตาม ระหว่างขึ้นรถเพื่อเดินทางไปสนามบินได้มีแฟนคลับมาขอถ่ายรูปและให้ดอกไม้ ซึ่งช่วงหนึ่งมีนักเรียนผู้ชายมาขอให้เซ็นลายเซ็นบนลูกฟุตบอล หลังนายพิธาเซ็นเสร็จน้องได้ร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติดีใจ นายพิธาได้เข้าไปกอด ขณะเดียวกันก็ได้ร่วมถ่ายรูปกับนักเรียนที่มาร่วมงานในวันนี้ด้วย