ภายในระยะเวลาเพียง 5 วัน เชลซี ของ โธมัส ทูเคิล ได้เปลี่ยนจากทีมที่แข็งแกร่งประหนึ่งว่าไร้เทียมทาน สู่การเป็นทีมที่ไร้ซึ่งพิษสงเอาได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นคือธรรมชาติที่ไม่แน่นอนของฟุตบอล

หลังจากเข้ามาคุมทีมได้แปดเดือน ทูเคิล ก็ได้เปลี่ยนทีมที่กำลังจะถดถอยลงไปเป็นทีมกลางตารางอย่างเต็มตัวภายใต้การคุมทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ให้กลายเป็นทีมที่สามารถคว้าถ้วยยูฟา แชมเปียนส์ ลีก และเป็นหนึ่งในทีมเต็งสำหรับตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้

อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้แบบหมดรูปต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามมาอย่างรวดเร็วด้วยการปราชัยต่อ ยูเวนตุส ในเกมที่น่าผิดหวังยิ่งนัก
แม้ในช่วงที่ดีที่สุดของ เชลซี พวกเขาก็ยังเล่นด้วยความระแวดระวังอยู่เสมอ อันที่จริงพวกเขาเคยทำได้มากกว่า 2 ประตูในเกมเดียวเพียงแค่ 4 ครั้งเท่านั้นเอง แต่หากพิจารณาว่าในช่วง 180 นาทีที่ผ่านมา เชลซี ยิงเข้ากรอบเพียงหนเดียว อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าน่าเป็นห่วงไม่น้อยเลย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เล่นได้เหนือกว่าทีมของ ทูเคิล อย่างชัดเจนและกุนซือชาวเยอรมนีก็ยอมรับตามตรงในบทสัมภาษณ์หลังเกม ทว่ากับ ยูเวนตุส ของ แม็กซ์ อัลเลกรี กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง แต่ผลลัพธ์ของเกมกลับออกมาเป็นแบบเดียวกัน
เชลซี เป็นฝ่ายครองเกมเหนือกว่าอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับโอกาสในการทำประตูที่มากถึง 16 ครั้ง แต่สิ่งที่ อัลเลกรี พูดหลังการแข่งขันว่า “วอยเซียค เชสนีย์ ไม่ได้ออกแรงเซฟจริงๆจังๆเลย” กลับเป็นความจริง

โรเมลู ลูกากู ไม่มีโอกาสสับไกเลยแม้แต่ครั้งเดียวกับ ซิตี้ และถูกทิ้งให้ต้องโดดเดี่ยวอยู่ตามลำพังอีกครั้งในการออกไปเยือน ยูเวนตุส เนื่องจากเพื่อนร่วมทีมของเขาถูกบีบให้ต้องผ่านบอลรอบๆเป็นตัว U โดยแทบจะไม่สามารถสร้างโอกาสให้หัวหอกหมายเลข 9 ได้เลย

โอกาสที่ชัดเจนที่สุดเพียงหนเดียวมาจากการผ่านบอลทะลุช่องอย่างแม่นยำของตัวสำรองอย่าง รอสส์ บาร์คลีย์ ที่ ลูกากู ก็ดันมาจบสกอร์ได้ไม่เฉียบขาดพออย่างน่าเสียดาย
การแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มเกมก่อนหน้านั้นกับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ก็มีรูปเกมที่ไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่ว่าในเกมดังกล่าว ลูกากู สามารถใช้โอกาสที่เขาได้รับมาอย่างคุ้มค่า

แน่นอน แค่การตามหลัง ลิเวอร์พูล จ่าฝูงในลีกเพียงแต้มเดียว และการบุกไปพ่าย ยูเวนตุส ทีมยักษ์ใหญ่จาก เซเรีย อา คงห่างไกลจากคำว่า “วิกฤต” มากโข

แต่หากปัญหานี้ยังเกิดขึ้นต่อไปอยู่เรื่อยๆ ใครจะรู้ว่าอะไรอาจจะตามมาได้บ้าง?