นับเป็นชัยชนะอันงดงาม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ สร้างสถิติใหม่ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

ได้รับเลือกตั้งจำนวน 1,386,215 คะแนน มากกว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของสถิติสูงสุดเดิมเคยทำไว้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2556 ที่จำนวน 1,256,349 คะแนน

ขณะที่ผลเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือส.ก.จำนวน 50 เขต ผลปรากฏพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกเข้ามามากสุด 20 ที่นั่ง พรรคก้าวไกลตามมาเป็นอันดับสองจำนวน 14 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ 9 ที่นั่ง กลุ่มรักษ์กรุงเทพ 3 ที่นั่ง ไทยสร้างไทย 2 ที่นั่ง ส่วนพลังประชารัฐได้เพียง 2 ที่นั่ง

เหล่านี้คือเสียงสะท้อนความต้องการเปลี่ยนแปลงของคนเมืองหลวงอย่างแท้จริง

สนามเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯ ครั้งนี้ส่วนหนึ่งคือภาพสะท้อนการเมืองใหญ่

แม้ผู้ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. อย่างนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะลงสมัครในนามอิสระ แสดงออกชัดเจนทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพรรคการเมืองใหญ่ เรื่องในอดีตก็คืออดีต ตอนนี้พร้อมเป็นผู้ว่าฯ ของคนกรุงเทพฯ 6 ล้านคน อย่างเท่าเทียม

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลเลือกตั้งส.ก.ที่พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะถึง 20 เขต ถึงจะไม่แลนด์สไลด์ แต่ก็ไม่หลุดเป้า ส่วนพรรคอื่นต่ำกว่าเป้าทั้งหมด จึงเป็นกระจกสะท้อนภาพการเมืองใหญ่ได้ชัดกว่า

พรรคเพื่อไทยจะยึดกุมชัยชนะตรงนี้ไว้ได้นานแค่ไหน และจะแปรค่าให้เป็นที่นั่งส.ส.ในอนาคตได้หรือไม่ เป็นประเด็นหนึ่งน่าจับตาอย่างยิ่ง

การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกยกให้เป็นเดิมพันครั้งสำคัญระหว่าง 2 ขั้วการเมืองใหญ่

เมื่อผลออกมาไม่ว่าในกรณีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หรือในกรณีพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล จึงไม่ผิดหากมองว่านี่คือชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งจะทำให้ภาระหนักตกอยู่กับฝ่ายรัฐบาล

โดยเฉพาะพรรคแกนนำอย่างพลังประชารัฐที่ได้ส.ก.เข้ามาน้อยกว่าที่คาด ประสบความล้มเหลวในสนามเลือกตั้งเมืองหลวงทั้งที่กทม.เป็นฐานเสียงสำคัญและเป็นพื้นที่ซึ่งมีกระแสเชียร์ลุงจำนวนมากก่อนหน้านี้

จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่พลังประชารัฐต้องนำผลเลือกตั้งครั้งนี้ไปศึกษาทบทวนโดยละเอียด ตีโจทย์ให้ตรง ตีโจทย์ให้แตก

หากยังคิดจะเดินหน้าแผนส่งชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกสมัยในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าต่อไป จำเป็นต้องถอดบทสรุปผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.นี้ให้ได้