ประเด็นร้อนการเมืองต่อเนื่องศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งจบไป กรณีกระแสข่าวแกนนำพรรคหลักรัฐบาล
ส่งสัญญาณต้องการกลับไปใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหาร 100 รวมถึงกระแสข่าวผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เหมือนเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562
ทั้งสองประเด็นสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมฝ่ายผู้ครองอำนาจ คิดถึงแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าของตนเอง ต้องการออกแบบกฎกติกาเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อเอาเปรียบพรรคคู่ต่อสู้ฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น
ไม่คิดวางระบบการเลือกตั้งที่ถูกต้องให้กับประชาชน ไม่คิดทำการเมืองเพื่ออนาคตประเทศชาติและประชาธิปไตย
วิธีคิดและพฤติกรรมแบบนี้อันตรายและน่าประณามอย่างยิ่ง
หลักคิดฝ่ายผู้ครองอำนาจมีอย่างเดียวคือ เขียนรัฐธรรมนูญ ออกแบบกฎกติกาเลือกตั้งอย่างไรก็ได้ เพื่อสกัดไม่ให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้แลนด์สไลด์
ยิ่งในระยะหลังคะแนนนิยมในตัวผู้นำรัฐบาลตกต่ำ พรรคฝ่ายประชาธิปไตยแซงหน้า ทำให้ผู้มีอำนาจรู้สึกตกใจ ต้องรีบหาทางตัดไฟแต่ต้นลม เป็นเหตุให้เกิดการกลับไปกลับมาสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ เลยเถิดถึงการกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว
อย่างที่นักการเมืองพรรคเล็กบางคนคำนวณว่าถ้าใช้บัตรสองใบหาร 500 จะสกัดส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคใหญ่ฝ่ายประชาธิปไตยได้ 25-30 คน แต่ถ้าใช้บัตรใบเดียวจะสกัดได้ทั้งส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อ รวมแล้ว 40-50 คน
ที่สำคัญพรรคเล็กพรรคจิ๋วไม่ต้องสูญพันธุ์ มีโอกาสกลับเข้ามาเป็นนั่งร้านรอรับแจกกล้วยจากผู้มีอำนาจต่อไป สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เหมือนที่เกิดขึ้นหลังเลือกตั้งปี 2562
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักที่วางระบบให้คนในประเทศอยู่ร่วมกันได้สันติสงบสุข
บทบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งคือ ระบบที่วางไว้เพื่อให้ประชาชนเลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ เป็นตัวแทนเข้าสู่อำนาจบริหารประเทศ ดังนั้น กฎกติกาจึงต้องเท่าเทียมเป็นธรรมกับพรรคการเมือง เป็นที่ยอมรับของประชาชนทุกฝ่ายโดยรวม
กติกาที่กำหนดขึ้นอย่างบิดพลิ้ว เอื้อให้ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ อีกฝ่ายเสียเปรียบ กำหนดผลแพ้ชนะตั้งแต่ยังไม่ลงแข่ง จะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน นำไปสู่ปัญหาขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมืองไม่จบสิ้น
กลุ่มผู้มีอำนาจจึงควรหยุดความคิดนี้ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรใบเดียว
นอกจากจะถูกคัดค้านในวงกว้าง เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่เอาด้วยเช่นกัน