กลายเป็นคำถามและหัวข้อถกเถียงกว้างขวาง จากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และค่าครองชีพประชาชนสูงขึ้น

โดยนายกฯ ระบุเป็นห่วงการใช้จ่ายเงินของประชาชน รายได้ลดลง ขณะเดียวกันราคาสินค้าและพลังงานสูงขึ้น ทำให้รายได้ไม่เพียงพอ ค่า ใช้จ่าย ในการดำรงชีวิตประจำวันเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้

นายกฯ จึงแนะนำประชาชนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีเงินน้อยต้องเลือกใช้เลือกกินให้ เหมาะสมกับสถานการณ์

จากปัญหาดังกล่าว นายกฯ ย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงสั่งการให้มีมาตรการต่างๆ ทยอยออกมา

สําหรับมาตรการที่รัฐบาลออกมาล่าสุด เพื่อ ลดภาระค่าครองชีพประชาชน เริ่มตั้งแต่ ลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนเป็นเวลา 4 เดือน

ให้ส่วนลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ไม่เกิน 250 บาทต่อคนต่อเดือนเป็นเวลา 4 เดือน ให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างด้วย

แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลจะเลิกอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และจะทยอยปรับขึ้นราคาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.

ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 35.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผล กระทบต่อไปยังภาคการขนส่ง และสินค้าต่างๆ สูงขึ้นตามมาอย่างแน่นอน

จากมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ออกมา หลายภาคส่วนรวมทั้งประชาชน ตั้งคำถาม และข้อสังเกตจะตรงจุดและช่วยเหลือได้จริงหรือ

โดยเฉพาะการเลิกอุดหนุน และจะปล่อยให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้น จะทำให้ภาคการขนส่ง มีต้นทุนตามมา กระทบถึงสินค้าทางการเกษตร และอีกหลายรายการ รัฐบาลมีแผนรองรับไว้แล้ว หรือยัง หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ประชาชนช่วยเหลือกันเองไปก่อน

สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นข้อเปรียบเทียบ ทั้งจากโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ เครื่องบิน และอาวุธ การจัดสรรงบฯ ให้กับบางกระทรวง บางหน่วยงานที่มากเกินความจำเป็น ยิ่งตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำ

ดังนั้นคำแนะนำให้ประชาชนเงินน้อยต้องเลือกกินเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รัฐบาลเองหรือไม่ที่ต้อง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม