นายกฯ ประชุม BRICS Plus ร่วมผู้นำ 18 ประเทศ มุ่งพัฒนาศักราชใหม่ ค.ศ. 2030

Home » นายกฯ ประชุม BRICS Plus ร่วมผู้นำ 18 ประเทศ มุ่งพัฒนาศักราชใหม่ ค.ศ. 2030



นายกฯ ประชุม BRICS Plus ร่วมผู้นำ 18 ประเทศ มุ่งพัฒนาศักราชใหม่ ค.ศ. 2030 ฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ตั้งอยู่บนกฎกติกา เคารพหลักธรรมาภิบาล

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 24 มิ.ย. 2565 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาของโลก กรอบความร่วมมือ BRICS Plus (BRICS Plus High-Level Dialogue on Global Development) ครั้งที่ 14 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ภายใต้หัวข้อหลัก “สร้างเสริมความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในศักราชใหม่เพื่อร่วมอนุวัติวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030” (Foster a Global Development Partnership for the New Era to Jointly Implement the 2030 Agenda for Sustainable Development)

โดยมีผู้นำประเทศที่เข้าร่วมจำนวน 18 ประเทศ ได้แก่ ผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS 5 ประเทศ และผู้นำประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Markets and Developing Countries: EMDCs) 13 ประเทศ ได้แก่ แอลจีเรีย อาร์เจนตินา อียิปต์ อินโดนีเซีย คาซัคสถาน เซเนกัล อิหร่าน อุซเบกิสถาน กัมพูชา เอธิโอเปีย ฟิจิ มาเลเซีย และไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับเชิญในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค 2565

ช่วงแรกของการประชุมฯ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะประธานการประชุมเป็นผู้กล่าวเปิด ซึ่งได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการร่วมมือกันรับมือความท้าทายต่อความมั่นคงแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่ เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกที่มีเสถียรภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมส่งเสริมการปฏิรูประบบธรรมาภิบาลโลก กระชับความร่วมมือในสาขาสำคัญตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ตลอดจนรักษาระบบพหุภาคีนิยม สร้างความเป็นหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อการพัฒนาอย่างมีเอกภาพ เสมอภาค สมดุล และครอบคลุม

ประธานาธิบดีจีนเชื่อว่าการพัฒนาจะเกิดสเถียรภาพทางสังคม เราจะต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น มั่นใจ มีความมุ่งมั่นเพื่อการพัฒนา ปัจจัยที่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่มีความเป็นธรรม เช่น นวัตกรรม ดิจิทัล เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำโดยต้องสร้างหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาร่วมกัน เป็นประโยชน์แก่ทุกคน

ด้านนายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงว่ายินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุม BRICS Plus อีกครั้งหนึ่งในปีนี้ โดยชื่นชมจีนที่ได้สานต่อข้อริเริ่ม BRICS Plus และมุ่งร่วมมือกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ที่หลายประเทศประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำในการฟื้นตัวจากโควิด-19 และต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหาร วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ภาวะเงินเฟ้อ และ ปัญหา พลังงาน น้ำมัน ปุ๋ย สินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพง

ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า โลกของเรากำลังเผชิญกับ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศกำลังพัฒนา เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องร่วมมือกันเพื่อฝ่าฝันวิกฤตเหล่านี้ โดยมุ่งพลิกฟื้นระบบพหุภาคีให้เข้มแข็ง สมดุล และเป็นธรรมยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรีได้แบ่งปัน 3 แนวคิดสำคัญที่เชื่อว่าจะช่วยให้สามารถร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ที่ตั้งอยู่บนกฎกติกา และเคารพหลักธรรมาภิบาล ดังนี้ 1.การพลิกฟื้นระบบพหุภาคีให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายอุบัติใหม่ในปัจจุบันและอนาคต ทุกประเทศต้องหลีกเลี่ยงการจำกัดการส่งออกอาหารที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก

“ไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลก มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเคลื่อนย้ายขนส่งอาหารและสินค้าจำเป็นอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหา ซึ่งต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานและเชื่อมโยงกันในทุกมิติ โดยไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกันกับกลุ่มประเทศ BRICS ผ่านกลไก ACMECS อาเซียน และข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง เพิ่มสัดส่วนการลงทุน พัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต และเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล คมนาคม และพลังงานข้ามพรมแดน”

2.ระบบพหุภาคีต้องมีความสมดุลในทุกมิติ ร่วมมือกันผลักดันให้มีการปฏิรูประบบพหุภาคีและปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาระดับโลกในการบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยไทยมุ่งผลักดันการเจริญเติบโตหลังโควิด-19 สู่สมดุลมากขึ้น ปรับความคิดและพฤติกรรมดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ เปลี่ยนของเสียให้เป็นทรัพยากร และลงทุนด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าปล่อยมลพิษเป็นศูนย์

สะท้อนว่า การที่ไทยหันเข้าหาโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวสู่ “ความสมดุลของสรรพสิ่ง” เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและครอบคลุม มีองค์ประกอบร่วมกันกับข้อริเริ่มว่าด้วยการพัฒนาระดับโลกของจีนในหลายแง่มุม ทั้งไทยและจีนล้วนมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองที่มีคนเป็นศูนย์กลาง รับมือกับความเหลื่อมล้ำ และรักษาสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

โดยนายกรัฐมนตรีมุ่งหวังว่า การมีค่านิยมร่วมกันเรื่องความเปิดกว้าง และครอบคลุมจะช่วยเกื้อกูลความร่วมมือใต้ – ใต้ และไตรภาคีมากยิ่งขึ้น เพื่อความก้าวหน้าในการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการพัฒนาทักษะเตรียมความพร้อมสู่อนาคตสีเขียว โดยไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานของอาเซียนในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน มุ่งมั่นที่จะแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ เพื่อสานต่อกิจกรรมต่าง ๆ ในปีแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนอาเซียน-จีน พ.ศ. 2564-2565

3.ระบบพหุภาคีจำเป็นต้องสร้างระบบธรรมาภิบาลเศรษฐกิจโลกที่เป็นธรรม ไม่แตกแยก และส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเหตุการณ์ที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วสามารถสร้างความเสียหาย ในวงกว้างต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤตหนี้สาธารณะ

ดังนั้น ไทยจึงขอเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนามีส่วนกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น พร้อมขอชื่นชมกลุ่ม BRICS ที่มีบทบาทจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประเทศกำลังพัฒนา ขณะเดียวกัน วิกฤตนี้เป็นโอกาสให้ทบทวนว่า จะพึ่งพาตนเองมากขึ้นได้อย่างไรในอนาคต

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ำว่า ไทยยินดีสนับสนุนข้อริเริ่มของจีนให้มีการพัฒนากรอบความร่วมมือ BRICS Plus ระหว่างกลุ่มประเทศ BRICS กับประเทศ EMDCs อย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ลดความขัดแย้งระหว่างกัน และในฐานะเจ้าภาพ APEC และประธาน BIMSTEC ไทยพร้อมทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างกันจากมหาสมุทรอินเดียไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ