ถึงเวลาส่งความเดือด “โอ๊ค Big Ass – สมเมย์ Labanoon” กับความสำเร็จ Now or Never ที่บ่มเพาะ 3 ปี

Home » ถึงเวลาส่งความเดือด “โอ๊ค Big Ass – สมเมย์ Labanoon” กับความสำเร็จ Now or Never ที่บ่มเพาะ 3 ปี


ถึงเวลาส่งความเดือด “โอ๊ค Big Ass – สมเมย์ Labanoon” กับความสำเร็จ Now or Never ที่บ่มเพาะ 3 ปี

ถึงเวลาส่งความเดือด “โอ๊ค Big Ass – สมเมย์ Labanoon” กับความสำเร็จ Now or Never ที่บ่มเพาะ3 ปี

หลังจากที่ โอ๊ค พงศ์พันธ์ พลสิทธิ์ มือเบสวง Big Ass จับมือผนึกกำลัง สมเมย์ ณัฐนนท์ ศรีศรานนท์ มือกลองวง Labanoon เปิดค่ายเพลงใหม่ในนาม Vom Records (วอม เรคคอร์ด) ทั้งยังเปิดตัวโปรเจ็กต์แรกของค่ายอย่าง Now or Never โปรเจ็กต์ที่จะรวบรวมศิลปินร็อกและเมทัลที่หายหน้าหายตาไปจากวงการจำนวน 8 วง คัมแบ็กกลับมาทำเพลงอีกครั้ง

ณ วันนี้ ผ่านไป 3 ปี โปรเจ็กต์ Now or Never ได้เสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมจะวางจำหน่ายแผ่นเสียง ในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ ซึ่งการผลิตจัดทำแผ่นเสียงในครั้งนี้ ทาง วอม เรคคอร์ด ได้ทำงานร่วมกับ Chiva Record (ชีวา เรคคอร์ด) ซึ่งเป็นบริษัทรับผลิตและจำหน่ายแผ่นเสียงชื่อดัง โดยล่าสุดข่าวสดออนไลน์ ได้พูดคุยกับ 2 ผู้บริหาร โอ๊ค และ สมเมย์ ถึงการทำงาน และความรู้สึกหลังจากโปรเจ็กต์สำเร็จแล้ว

เป็นยังไงบ้างกับการทำค่าย และโปรเจ็กต์นี้ จากวันแรกจนถึงวันนี้ก็สามปีแล้ว?
โอ๊ค: “จะบอกว่ามันเป็นจังหวะนรกมาก คือตอนที่เราเปิดตอนแรกก็เจอโควิดเลย คือตอนนั้นน่ะเรากำลังเริ่มทำโปรเจ็กต์นี้ที่เรากำลังจะคุยกันก็กำลังคิดเลยว่า พอปล่อยเพลงแล้วเราก็จะทำให้มันมีงานโชว์ขึ้นมาเป็นทัวร์ขึ้นมา แต่พอมาเจอโควิดปุ๊บทุกอย่างมันล็อกหมด ทำอะไรไม่ได้เลย มันก็ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน แต่เราก็ต้องประคองอ่ะ ในเมื่อเราสัญญากับทุกๆ วงไว้แล้วว่าเราจะทำให้มันเสร็จเราก็ต้องพยายาม แต่มันลำบากมาก ไหนจะเรื่องของการเจอกัน เรื่องของทุนในการทำงาน เพราะเราคิดว่าถ้าเราจัดงานเราก็อาจจะได้อะไรกลับคืนมา แต่สุดท้ายมันไม่มีอะไรกลับคืนมาเลย เพราะมันไม่สามารถออกไปเล่นอะไรได้เลย ก็เลยต้องหาวิธีการทุกอย่างจะทำยังไงก็ได้ให้อัลบั้มนี้มันสำเร็จขึ้นมา แล้วก็ต้องขอขอบคุณศิลปินทุกคนที่อดทนในการทำงานและอยู่ในสภาพการทำงานที่มันลำบาก แต่พวกเขาก็สู้จนอัลบั้มนี้มันเสร็จขึ้นมา”

ตอนนี้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว?
สมเมย์: “ก็ดีใจ (หัวเราะ) คือจริงๆ โปรเจ็กต์นี้มันเริ่มต้นจากที่เราเอาศิลปินที่เคยมีฐานแฟนเพลงของเขาอยู่แล้ว จากที่เคยอยู่ในค่ายเพลงก็มีอยู่ในค่ายเราด้วยที่เขาเคยหมดสัญญากับค่ายเก่าๆ ไปแล้ว แต่เขายังเดินทางในเส้นทางดนตรีอยู่ เราก็เอากลับมาทำใหม่ โดยการเอากลับมาทำใหม่ครั้งนี้ เราก็เลยตั้งชื่อโปรเจ็กต์นี้ว่า now or never ศิลปินมีทั้งหมด 8 กลุ่มศิลปิน ซึ่งทั้งหมดผ่านร้อนผ่านหนาวในการเล่นดนตรีมา”

โอ๊ค: “อย่างที่รู้ว่าแนวนี้มันค่อนข้างจำกัดเฉพาะกลุ่มจริงๆ แล้วมันไม่สามารถจะหาเลี้ยงชีพได้ในการเล่นดนตรี เขาก็ต้องทำงานอย่างอื่นไปด้วย ซึ่งมันก็ทำให้แต่ละวง การทำงานไม่ค่อยต่อเนื่อง เราก็เลยเห็นว่าเราก็เลือกเองที่เราคิดว่ามันเป็นตัวเจ็บจริงๆ ในวงการนี้ เราก็ลองมาคุยกับเขาแล้วพยายามดันเขาออกมาให้ได้ ก็เลยเป็น 8 วงนี้ที่เราเห็นในปกอัลบั้ม”

Born From Pain,Ritalinn,Empty Glass Means Nothing,Harem Belle,G6PD,Tragedy of Murder,Ugoslabier,Last Dream

 

อย่างที่บอกว่าศิลปินแนวนี้ยังมีอีกมากมายหลายวงที่เขามีฝีมือ แต่ 8 กลุ่มที่ได้มาอยู่ในอัลบั้มนี้เรามีการคัดเลือกยังไง?
สมเมย์: “จริงๆ บางวงอ่ะเราเคยได้ร่วมงานกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานเล่นงานโชว์หรืองานเพลงที่เราเคยทำด้วยกัน เราจะคัดจากตรงนั้นส่วนนึงด้วย แล้วก็บวกกับที่วันนี้ทุกคนก็มีพลังงานในการที่อยากจะมาเดินต่อกับเรา ตอนนี้วงแต่ละวงกับวอม เรคคอร์ด ก็เกิดมาพร้อมๆ กันกับพวกเขาที่เราได้ดึงมา มันก็เลยรู้สึกว่าวันนี้เราเหมือนได้กลับมาหาเพื่อนได้เจอเพื่อนเก่าๆ ที่ได้รู้จักกัน ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ปัญหาในการคัดเลือก ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ทุกคนมีพลังงานในการที่อยากจะทำงาน ทุกคนอยากจะเดินต่อ มันเป็นพลังงานเดียวกัน มันอยู่ที่ว่าวันนี้วงนี้พร้อม มันก็เลยคัดสรรมาได้ 8 วงมาอยู่ในโปรเจ็กต์นี้ และ 8 วงก็มี 8 เพลง”

อย่างที่ทราบว่า วอม เรคคอร์ด เป็นค่ายเพลงที่จะไปทางแนวเมทัล ทำไมตอนแรกถึงคิดที่จะทำค่ายทำเพลงแนวดนตรีเมทัล ถนัดไหม?
สมเมย์: คือหลายคนที่รู้จักค่ายจะคิดว่าจะเป็นค่ายเมทัลครับ คือจริงๆ ผมกับพี่โอ๊คเนี่ยชอบเพลงแนวนี้ มันก็เลยเป็นจุดชนวนเล็กๆ ให้เราทำค่ายเพลงเป็นเพลงแนวร็อกเมทัลขึ้นมา”

โอ๊ค: “จริงๆ แล้วพื้นฐานของเราทั้งสองคนเป็นคนที่โตมาจากพื้นฐานหลักดนตรีเมทัลมาก่อน ผมเข้าใจแหละว่าดนตรีแนวนี้มันค่อนข้างเป็นดนตรีทางเลือก แต่เราก็รู้สึกว่าในบ้านเราก็ยังมีไม่กี่ค่ายที่ทำจริงจังในสายนี้ เราก็เลยคิดว่ามาทำในสายนี้ มาทำไหม ให้ลองดูจริงจังทำให้มันดูมีคุณภาพงานที่โอเค แล้วผมคิดว่าดนตรีแนวเนี้ยหลายๆ วงอ่ะมีความสามารถมากที่จะทำงานให้มีงานที่ดีได้ เพราะบางครั้งโอกาสการที่เขาจะเจอคนทำงานที่มีคุณภาพก็ค่อนข้างจะไม่ค่อยเยอะ ด้วยต้นทุนด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แล้วยิ่งเพลงแนวนี้มันไม่ใช่เพลงในกระแสที่คนจะสามารถฟังอะไรซ้ำๆ มันเป็นเพลงที่คนชอบจริงๆ ที่จะสามารถฟังถึงจะรักแล้วก็ซัพพอร์ตวง”

แล้วในกระบวนการของการทำเพลงล่ะ กว่าจะได้คลอดออกมามันยากหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?
โอ๊ค: “คือตอนแรกๆ เราก็เริ่มคุยกับวง ว่าวงอยากจะทำอะไร แล้วในส่วนของเพลงมันต่างจากที่เขาเคยเป็นอยู่หรือเปล่า ซึ่งแต่ละวงเขาก็ส่งเดโม่ของเขามาให้เราฟัง เราก็ช่วยกันปรับช่วยกันดูว่าทุกอย่างมันโอเคไหม เราก็ลงมือเริ่มอัดเสียงกันเสร็จแล้วก็ส่งงานให้กับคุณเชน มิกซ์มาสเตอร์ริ่ง เพราะว่าถ้าถามถึงคนที่ฮอตที่สุดในงานมิกซ์มาสเตอร์ริ่งในไทย หนึ่งเลยก็คือคุณเชน เพราะเขาก็คือทำงานให้กับศิลปินดังๆ หลายๆ คนเช่น tilly bird แต่จริงๆ แล้วพื้นฐานของคุณเชนเป็นสายเมทัล เป็นมิกเซอร์ที่มาจากออสเตรเลียทำเพลงให้กับศิลปินดังๆ หลายๆ คนที่นู่น แล้วเขาก็ได้ย้ายมาเมืองไทย คือทางบิ๊กแอสกับลาบานูนก็มีโอกาสได้เจอเขาก่อนในช่วงที่เขาขึ้นมาใหม่ๆ แล้วเราก็ได้คุยกัน แล้วเขาก็เคยเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่เขาทำอ่ะมันเป็นยังไง เขาเป็นคนสายเมทัลจริงๆ ในความสามารถเขา เขาก็สามารถปรับจูนการทำงานกับบ้านเราได้ เราก็เลยคิดว่าเอ้ยเราลองไปทำงานลองส่งงานทั้งหมดให้กับคุณเชนเป็นคนจัดการ กับน้องที่ชื่อเจ เป็นมิกซ์มาสเตอร์ริ่งเช่นกัน”

ตอนนี้ทั้งคู่ก็ถือว่าควบสองหน้าที่คือผู้บริหารค่ายและเป็นศิลปินด้วย มันมีการแบ่งไทม์ไลน์การทำงานยังไง?
สมเมย์: “คือทุกคนมีสิ่งที่ชอบแล้วก็มีสิ่งที่รักแล้วก็มีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้ว ผมว่าวันนี้ถ้าเราเลือกที่จะทำแล้วเราคงก็ต้องจัดสรรเวลาตัวเองกันให้ได้อยู่แล้ว ความรักผมก็ว่ามันต้องอยู่ให้ได้ด้วย ความชอบเราก็ต้องอยู่กับสิ่งที่เราชอบไปด้วย หน้าที่การงานเรามีอยู่แล้ว เราก็คงต้องแบ่งเวลาของมันให้ได้ด้วย”

โอ๊ค: “แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ก็คือความเป็นระบบของธุรกิจมากขึ้น การเข้าใจในเรื่องของเชิงธุรกิจ เพราะว่าที่ผ่านมาเราเป็นแค่ศิลปินเราก็จะมองแค่ภาพศิลปิน เราจะทำอะไรก็จะมีคนนั้นคนนี้ช่วยทำดูแลให้ แต่พอเป็นค่ายจริงๆ เราต้องดูทุกอย่างเลย จากที่เมื่อก่อนเราไม่ต้องทำเราก็ทำ บางเรื่องที่เราไม่เคยคิดอยากจะทำเราก็ต้องทำ บางเรื่องที่เราไม่อยากศึกษาเราก็ต้องศึกษา เรื่องการพีอาร์ มาร์เก็ตติ้ง หรือเรื่องการดูแลศิลปินต่างๆ ซึ่งแรกๆมันก็ค่อนข้างที่จะปรับตัวยากเหมือนกัน แต่ว่าทำงานไปเรื่อยๆ คนเยอะเราก็ใช้ความที่เรารู้จักกับคนเยอะในวงการแล้วก็ถามช่วยกันแบ่งปันความรู้จากพวกเขามาปรับปรุงในค่าย”

เชี่ยวชาญาการบริหารหรือยัง?
โอ๊ค: “คือมันมีปัญหาทุกวัน แล้วยิ่งปัญหาของคนมันค่อนข้างที่จะเหนื่อยสุด เพราะว่าเนื่องจากปัญหาการจัดการมันมีซิสเต็มของมันอยู่แล้ว แต่ปัญหาของคนที่จะเกิดขึ้นในแต่ละวันมันคอนโทรลไม่ได้ อย่างโควิดเราก็ไม่สามารถคอนโทรลได้ เราเดาอะไรไม่ได้เลย ตอนนี้เราจะถูกล็อกดาวน์หรือวันนี้เราจะเคอร์ฟิว มันเดาอะไรไม่ได้ แล้วสิ่งที่เราตั้งแผนไว้มันก็ไม่ได้เป็นไปตามแผน เราก็ต้องมาปรับเปลี่ยนแผนทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งบัดเจตที่เรามีในการทำงานเราก็ต้องมาดูว่าอะไรที่มันควรไม่ควร บางทีเราคิดว่าเราต้องทำอันนี้ว่ะ เจ๋งว่ะ ภาพต้องสวยแต่เรามาดูบัดเจตที่เรามีมันน่าจะพาเราเหนื่อย (หัวเราะ) เราก็ต้องเข้าใจและปรับตัวเองให้รู้ว่าเราจะแก้ปัญหาตรงนี้ยังไง”

อย่างที่บอกว่าเพราะมันอยู่ในพาร์ตธุรกิจ ความกดดันไปถึงเป้าหมายยอดขาย วางไว้ยังไงบ้างกับโปรเจ็กต์นี้?
สมเมย์: ถ้าส่วนตัวผมเอง ผมไม่ได้คาดหวังหรือตั้งเป้าหมายอะไรไว้สูงขนาดนั้น แค่รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำคนทำงานกับเรามีความสุขแล้วก็เป็นของขวัญที่เขาอยากทำเขาเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับค่ายเพลงผมก็ถือว่าเป็นบทเรียนอย่างนึงที่สำเร็จสำหรับเราแล้ว และเป็นวิชาที่เราก็หาซื้อไม่ได้ แต่ว่าถือเป็นการเริ่มตอนที่เราได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง เพราะว่าทุกอย่างที่ผมทำหรือพี่โอ๊คทำหรือศิลปินทุกคนที่ทำกับอัลบั้มนี้ เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่เราได้รับประสบการณ์ต่างๆ เราได้ความตั้งใจ เราได้เพื่อน ผมบอกว่าอันนี้มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในการทำงาน”

โอ๊ค: “ผมว่าก็มีกลุ่มคนที่ยังฟังเพลงแนวนี้อยู่เยอะ ก็หวังว่าอัลบั้มนี้คนที่ชอบแนวนี้ก็อยากจะให้มาช่วยซัพพอร์ตศิลปินที่ทำเหล่านี้ให้มีกำลังใจในการทำงานให้มากขึ้น เพราะว่าผมคิดว่าหลายๆ คนหลายๆ วงที่มีใจรักในการทำงานก็ยังมีอยู่ แต่ด้วยความรู้สึกว่าถูกซัพพอร์ตน้อยไปหน่อย ก็เลยไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำอะไร มันคืออะไรหรืออัลบั้มนี้ถ้ามันช่วยทำให้หลายๆ คนหลายๆ วงมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น แล้วส่งต่อไปกับศิลปินรุ่นน้อง ที่ทำก็ให้รู้ว่าอ๋อมันยังมีกลุ่มแบบนี้อยู่เหรอที่ยังทำตรงนี้อยู่ ก็จะทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขารักมันเป็นจริงได้มากขึ้น”

สมเมย์: “ในเพจวอม เรคคอร์ด ก็จะมีการเคลื่อนไหวของศิลปินในค่าย ก็ทั้งปัจจุบันแล้วก็ทั้งที่เคยมีอยู่ในโปรเจ็กต์นี้ด้วยและโปรเจ็กต์ now or never 1 เราวางแผนกันว่าเราจะวางผลิตขายวันที่ 9 มิ.ย. ก็คือเดือนหน้าครับ”

โอ๊ค: “ผมรู้สึกว่าคนที่ติดตามค่ายวอมมาตลอด อยากดูเอ็มวีก็ไปดูได้ที่แชนแนลของวอม เรคคอร์ด จะมีเอ็มวีของเพลงในอัลบั้มนี้ได้ชมกันแล้ว เราก็น่าจะได้เจอกันตามงานเฟสติวัลอีกมากมาย ซึ่งเราก็จะไปเปิดบูทก็จะพยายามเอาพวกซีดีแผ่นเสียงเหล่านี้ไปขายด้วย และทางเพจชีวาเรคคอร์ด (บริษัทรับผลิตและจำหน่ายแผ่นเสียง) ก็มีขาย โดยสามารถสั่งจองได้แล้วตอนนี้ เราอาจเริ่มพรีออเดอร์แล้ว ราคาก็ซื้อได้ขายคล่อง”

สมเมย์: “อยากให้คิดแบบนี้ดีกว่า มันเป็นการสะสม เพราะผมคิดว่าเราไม่รู้ว่าศิลปินพวกนี้เขาจะเล่นต่อหรือไม่เล่นต่อ แต่ผมว่าอย่างน้อยวันนี้เป็นการที่เราสนับสนุนและสะสมไว้ก็ดีครับ”

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ