ชัยวุฒิ เหน็บ ตะวัน-แบม ป่วนเวทีพปชร. แต่ไปช่วยก้าวไกลหาเสียง พุทธิพงษ์ ไม่เห็นด้วยแก้112 ธนาธร ลั่นคนเห็นต่าง ไม่ควรติดคุก ชงออกกฎหมายนิรโทษฯ ผู้ต้องหา112
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 2 พ.ค. 2566 ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ มติชนxเดลินิวส์ จัดเวทีดีเบต “สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR” โดยยกทัพพรรคการเมืองชั้นนำครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งขุนพลเลือดใหม่ (Young blood) ขุนศึกตัวตึง-ตัวเก๋า และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชันนโยบาย เพื่อนับถอยหลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
จากนั้น เวลา 14.00 น. เข้าสู่รอบที่ 2 เวที “ขุนศึก ประจัญบาน” โดยแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 พรรค กลุ่ม C ประกอบด้วย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายพุทธพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการเลือกตั้งกทม. พรรคภูมิใจไทย (ภท.)
โดยคำถามแรก ถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับแนวทางการเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวอย่างแบม-ตะวัน โดยนายชัยวุฒิ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐไม่มีนโยบายแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 ข้อเท็จจริงบางอย่างมีการเคลื่อนไหวที่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง แต่น้องๆ อาจจะถูกยุยงปลุกปั่นได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ตนเคยถามหลายคนที่เคลื่อนไหวว่า เดือดร้อนเรื่องอะไรก็ไม่มีใครตอบได้ แต่ที่มีปัญหาเพราะมีกระบวนการทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“บางทีก็เห็นไปขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคก้าวไกล ทั้งคู่มาป่วนเวทีพลังประชารัฐด้วย ป่วนเสร็จก็ไปช่วยพรรคก้าวไกลหาเสียง ผมไม่อยากเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง แต่เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม กระบวนการตามกฎหมาย ถ้าประชาชนเลือกท่านก็ไปแก้กฎหมายตามนโยบายของท่าน ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องหลังการเลือกตั้ง” นายชัยวุฒิ กล่าว
นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า แม้ว่าหลักการสิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตยมีอยู่จริง แต่การหมิ่นประมาทอาฆาตมาตร้ายเป็นความผิด ถึงมีสิทธิเสรีภาพ แต่หมิ่นประมาทก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมาย สิทธิเสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย สิทธิเสรีภาพมีได้ แต่ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน
ด้านนายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายต้องไปดูว่าใครถูกรังแก และใครไปรังแก สังคมเรามีคนคิดต่างเสมอ มุมมองรัฐบาลจึงสำคัญที่ต้องเปิดพื้นที่ให้คนเห็นต่าง และนี่คือความสวยงามของประชาธิปไตย ส่วนกฎหมายมาตรา 112 คนเรามีกฎหมายคุ้มครองกันอยู่แล้ว มีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศ น้อง 2 คนที่ถูกดำเนินคดี ถ้ามีความผิดก็ต้องดำเนินคดีกันไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปแก้ เพราะประมุขอยู่เหนือการเมืองหรือไม่
นายธนาธร กล่าวว่า สิ่งที่คนหนุ่มสาวกำลังพูดอยู่ทุกวันนี้ คือความจริงที่น่ากระอักกระอ่วน สิทธิเสรีภาพคือสิทธิพื้นฐานของประชาธิปไตย ดังนั้น เราต้องประกันสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนว่า คนที่คิดต่าง พูดต่าง เห็นต่าง ไม่มีใครสมควรติดคุกในประเทศนี้
เราต้องเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่ออกมาแสดงความเห็น เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถชนะใจคนด้วยกระบวนการปกติได้ จึงเอาสถาบันเพิ่มคะแนนนิยมให้ตัวเอง ท่าทีของคนหนุ่มสาวอาจทำให้ท่านขัดใจ รุนแรงไปบ้าง แต่ลองให้โอกาสเขาดู มันเป็นความจริงที่กระอักกระอ่วน แต่ถ้าเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหานี้ ซุกใต้พรม คนรุ่นต่อไปต้องเผชิญหน้า ฉะนั้น เราจึงต้องเผชิญหน้าในคนรุ่นเรา ผ่านกลไกทางสภา
นายธนาธร กล่าวต่อว่า ส่วนการที่ตนต้องดำเนินคดีฟ้องกลุ่มคนต่างๆ ไม่ใช่เพราะตนไม่เห็นด้วยกับสิทธิในการแสดงความเห็น แต่คนเหล่านี้ใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงมาทำลายกันทางการเมือง หากพรรคก้าวไกลมีเสียงมากพอ หลังการเลือกตั้งเราจะเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมือง และมาตรา 112 ให้คนหนุ่มสาว ซึ่งเขาไม่ใช่อาชญากรทำร้ายประเทศ แต่เขาหวังดีในแบบของเขา โดยจัดตั้งคณะกรรมการมาชุดหนึ่งให้ได้รับสิทธิ และหากตนได้รับสิทธิก็จะขอสละสิทธิ เพื่อเผชิญหน้าทางการเมืองต่อไป
จากนั้น คำถามที่สอง ถามว่าค่าไฟแพงเป็นความผิดของนายกฯ คนไหน และมีข้อเสนอแก้ไขอย่างไร นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ค่าไฟที่แพงขึ้น มันแพงมาตลอด ไม่เคยลด แต่คำถามที่ต้องชี้นิ้วว่าเป็นความผิดของใคร เอาสิบนิ้วคงชี้ไม่หมด เพราะเป็นมาทั้งระบบ แต่พรรคภูมิใจไทยเคยเสนอมานานแล้วให้เอาโซล่าร์เซลล์มาใช้ ช่วยประหยัดเดือนละ 450 บาท เรื่องพลังงานต้องแก้ทั้งระบบ เมื่อไหร่ที่เริ่มชี้นิ้วหาคนผิดก็ไม่ก้าวไปไหน แต่ต้องมานั่งคิดการแก้ปัญหาเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า
ด้านนายธนาธร กล่าวว่า 10 ปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังการผลิตไฟฟ้ามากเกินความจำเป็นถึง 60% จากการเอื้อทุนพลังงาน นำมาซึ่งค่าไฟที่แพงขึ้น เพราะต้องมีค่าพร้อมจ่ายในการผลิต พรรคก้าวไกลมีความกล้า และพร้อมชนกับกลุ่มทุนผูกขาด เราจะจัดสรรการใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยใหม่ เราจะยกเลิก และเปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิตไฟฟ้าที่เอื้อประโยชน์กับนายทุนทันที เพราะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม เราปล่อยให้กลุ่มทุน 3-4 กลุ่ม รวยจากการขายไฟจากรัฐไม่ได้ เราจะต่อสู้กับกลุ่มทุนผูกขาด พรรคก้าวไกลจะทำให้ประชาชนเห็นว่าเรายืนหยัดหลักการนี้
ขณะที่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เราต้องคำนึงถึงความมั่นคง เสถียรภาพของพลังงานที่เพียงพอ ส่วนเรื่องราคาต้องให้ความเป็นธรรมรัฐบาลในอดีต ซึ่งการสร้างโรงไฟฟ้าจะมีการศึกษาว่าแบบไหนจะมีต้นทุนถูกที่สุด ตอนอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เซ็นสัญญาซื้อไฟ 5,000 เมกะวัต ค่าแก๊สก็ไม่แพงขนาดนั้น แต่วันนี้มีสงครามรัสเซีย-ยูเครน สถานการณ์เปลี่ยนค่าแก๊สสูงขึ้น วันนี้ไฟจากโซล่าร์ลดต้นทุนค่าไฟได้ เราจึงมีนโยบายใช้โซล่าร์มากขึ้น ดังนั้น ในอนาคตเรามีนโยบายปรับค่าแก๊สด้วย ซึ่งจะทำให้ค่าไฟลดเหลือ 2.50 บาท ต่อหน่วย
“ทุกอุตสาหกรรมมีกลุ่มทุนคนไทยเติบโตขึ้นมาก มีความแข็งแกร่ง สามารถนำรายได้เข้าประเทศได้ ซึ่งทุกอุตสาหกรรมมีเจ้าพ่อวงการนั้นๆ หรือท่านจะเอาแต่กลุ่มทุนต่างชาติเข้ามา ผมจึงไม่อยากให้มองในแง่ลบ แต่อยากให้มาช่วยกันพัฒนาประเทศเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นดีกว่า” นายชัยวุฒิ กล่าว
คำถามที่สาม ถามว่า ข้อเสนอแก้ปัญหายาเสพติดแบบเห็นผลเป็นรูปธรรม พรรคของท่านจะมีแนวทางอย่างไรในการแก้ปัญหา นายธนาธร กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเสนอมาตลอดว่าเราจำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอระดับโครงสร้าง การแก้ปัญหายาเสพติดไม่สามารถทำได้จากการจับผู้ค้าปลีก ผู้เสพเข้าคุก แต่เราต้องปฏิรูปตำรวจ วันนี้ประชาชนเห็นทั้งตำบล รู้ทั้งอำเภอ ว่ามียาเสพติดแต่ทำไมไม่มีตำรวจไปจับยาเสพติด ที่เป็นแบบนั้น เพราะเขาไม่ได้ดิบได้ดี แต่เป็นตำรวจที่รับใช้นายจึงจะได้ดี ฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำคือการปฏิรูปตำรวจ ทำให้การเลื่อนขั้นเลื่อนยศเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ตามความสามารถ ไม่ใช่ด้วยตั๋ว แบบนี้ตำรวจจะกลับไปรับใช้ประชาชน
ด้าน นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เรามีนโยบายเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังเข้มข้นในการแก้ปัญหายาเสพติด ตนเห็นด้วยกับนายธนาธรในการปฏิรูปตำรวจที่ต้องปรับปรุงเรื่องการทำงาน แต่ในสังคมทุกวงการมีทั้งคนดี และคนไม่ดี เราคงไม่สามารถทำให้ตำรวจทุกคนเป็นคนดีได้ เป็นเราเองที่ต้องช่วยกัน แต่เรื่องที่เรามองข้ามไป คือ การบำบัดรักษาที่น้อยเกินไปกว่าการจับกุม เราต้องเพิ่มการบำบัด ซึ่งเราจะเพิ่มศูนย์บำบัดทุกอำเภอ
“พรรคยืนยันว่า มีนโยบายที่จะเอาจริงเอาจังในการปราบปรามการลับลอบขนยาเสพติด ส่วนประเด็นทางการเมืองเรื่องแป้ง ผมไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยโดยตรงคงตอบแทนไม่ได้ แต่ก็เป็นในอดีต ผมอยากให้คิดถึงการทำงานร่วมกันในอนาคต วันหน้าถ้าพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ พรรคก้าวไกลอาจเป็นฝ่ายค้านกับพรรคพลังประชารัฐก็ได้” นายชัยวุฒิ กล่าว
ขณะที่ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดแบ่งเป็น 3 เรื่อง คือ 1.กฎหมาย ระบบตำรวจไม่บังคับใช้จริง หรือเมื่อมีการจับยาบ้าได้ ทำไมต้องมีตำรวจที่รู้เห็นเป็นใจด้วยทุกครั้ง ดังนั้น ต้องมีการลงโทษเจ้าหน้าที่ที่รู้เห็นเป็นใจ 2.สังคม มีการดูแลเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน และสังคมต้องมีการดูแลหรือบำบัดผู้ติดยาเสพติดให้ดี และ 3.เศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจมีปัญหา ประชาชนมีความเดือนร้อน ไม่มีทางเลือก ก่อเหตุทำผิดคดีและเสพยา ดังนั้น เรื่องยาบ้าต้องแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจด้วย
“การปราบยาเสพติด พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าไม่เอายาเสพติด และไม่เอากัญชาเสรี เราใช้กัญชาเฉพาะการแพทย์เท่านั้น ยืนยันไม่เอายาเสพติดทุกชนิดและกัญชาเสรี ดังนั้น กฎหมายต้องเข้มแข็ง” นายพุทธิพงษ์ กล่าว