จุรินทร์ยันเงินเฟ้อไทย อยู่ในเกณฑ์ดีของโลก ย้ำสินค้าไม่ได้แพงหมด บางอันก็ราคาเท่าเดิม บางอันก็ราคาถูก แต่ยอมรับปุ๋ยแพงจริง การส่งออกยังสำคัญ
วันที่ 1 มิ.ย.2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ชี้แจงถึงอัตราเงินเฟ้อว่า เงินเฟ้อของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุว่าประเทศไทยอยู่ในกลุ่มเงินเฟ้อต่ำที่สุด อีกทั้งยังคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยเฉลี่ยร้อยละ 3.5 อยู่ในลำดับที่ 163 จาก 192 ประเทศทั่วโลก ส่วนราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในไทยไม่ได้ขึ้นไปทั้งหมด เพราะมีทั้งกลุ่มที่ราคาคงเดิม กลุ่มราคาปรับลด และกลุ่มราคาเพิ่มสูงขึ้น
ตนยอมรับว่าปุ๋ยราคาแพงจริง ก็เห็นใจและเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเราต้องแก้ไขปัญหา 2 ข้อ คือ 1.แก้ไขราคาไม่ให้ค้ากำไรเกินควร และแก้ไขปัญหาให้มีปุ๋ยใช้ในปริมาณที่เพียงพอ ไม่ให้ขาดแคลน วันนี้ยังกำกับปริมาณให้เพียงพอได้ ด้วยปุ๋ยที่ต้องนำเข้าทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์โลก และเพราะปุ๋ยผลิตจากน้ำมัน เมื่อน้ำมันแพงขึ้น ปุ๋ยก็ต้องราคาแพงด้วย ค่าขนส่งสูงขึ้นราคาปุ๋ยก็ต้องเพิ่มเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบราคาปุ๋ยทั่วโลก จะพบว่าบ้านเรายังอยู่ในราคาที่ต่ำกว่าหลายประเทศ เมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารโลก ได้ทำตารางเปรียบเทียบของโลก ปรากฏว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์รัสเซีย ยูเครน ก่อนที่ราคาน้ำมันจะแพง กับปัจจุบัน พบว่า ราคาปุ๋ยโลกเฉลี่ยสูงขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ปุ๋ยไทยเพิ่มขึ้น 5.9 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าตกกว่าราคาเฉลี่ยโลก
เมื่อนำราคาเปรียบเทียบเดือนเม.ย. ระหว่างปี 2564 กับปี 2565 ปุ๋ยโลกแพงขึ้น 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ปุ๋ยไทยแพงขึ้น 25.7 เปอร์เซ็นต์ นี่คือข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่ารัฐบาลจะไม่ได้ทำอะไร โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมผู้นำเข้าปุ๋ย จับมือกันขายปุ๋ยราคาถูก
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ เนื่องจากเราพยายามกำกับปุ๋ยไม่ให้แพงขึ้น จนเป็นที่มาให้ผู้นำเข้าปุ๋ยจะหยุดนำเข้า เพราะเราไปกดราคาไม่ให้เป็นไปตามราคาต้นทุน ปรากฏว่าการนำเข้าปุ๋ยติดลบ 48 เปอร์เซ็นต์ ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นนี้ต่อไป ต้องแก้ปัญหาปุ๋ยขาดแคลน ดังนั้น เราต้องสร้างสมดุลราคากับปริมาณ เพื่อให้มีการนำเข้าปุ๋ย ซึ่งตอนนี้เราทำโครงสร้างราคาปุ๋ยใหม่เรียบร้อย จนทำให้ตอนนี้มียอดนำเข้าปุ๋ยเพิ่มขึ้นแล้ว เหลือก็แต่เรื่องราคาที่ต้องหาวิธีทำให้ถูกลง
ขอยืนยันว่า เครื่องยนต์ส่งออกไม่ได้ดับ ในสถานการณ์โลกต่างๆที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่ผลักดันการส่งออกได้อย่างงดงาม ปี 64 ทำรายได้ถึง 8.5 พันล้านบาท และในปีนี้ ผ่านไปเพียง 4 เดือน ทำรายได้แล้ว 3.2 ล้านล้านบาท และตั้งเป้าว่าสิ้นปีนี้ต้องให้ได้ 9 ล้านล้านบาท เพราะฉะนั้นการส่งออกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยที่สำคัญ