จิมมี่ คัมแบ็ก คืนวงการ หลังป่วย รักษาจิตใจ 2 เดือน เผย ปีนี้หนักสุด

Home » จิมมี่ คัมแบ็ก คืนวงการ หลังป่วย รักษาจิตใจ 2 เดือน เผย ปีนี้หนักสุด



จิมมี่ คัมแบ็ก คืนวงการ หลังป่วย รักษาจิตใจ 2 เดือน เผย ปีนี้หนักสุด

หลังจากที่ค่าย “ดูมันดิ” ร่อนจดหมายชี้แจงนักแสดง จิมมี่ กานต์ กฤษณะพันธ์ ขอพักงานเพื่อกลับไปดูแลสภาพจิตใจ ที่บ้าน จ.ระยอง ทั้งนี้ก็ได้เข้าพบหมอเพื่อรักษาตัว จนสามารถฮีลใจกลับมาใช้ชีวิตปกติดังเดิม

ล่าสุด จิมมี่ เดินทางมาร่วมงานแถลงผังเปิดตัวซีรีส์ของค่ายดูมันดิ ในปี 2566 กับงาน “DMD LINE UP 2023 Into The New Universe” ที่ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งภายหลังจบงานได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าว

ความพร้อมตอนนี้? “ตอนนี้ผมน่าจะพร้อมเกือบเต็มร้อยแล้วล่ะ ขาดไปสักเปอร์เซ็นต์หนึ่ง เอาไว้ให้รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่พร้อมเหมือนกัน จะได้มีแรงพัฒนาตัวเองครับ กลับมาทำงานเต็มตัวแล้วครับ”

ที่ผ่านมาคิดถึงบรรยากาศ? “ใช่ๆ เรากลับบ้านเป็นมนุษย์ถ้ำไปหลายเดือนเหมือนกัน อยู่ที่บ้านเราก็เล่นกับหมา จนเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราขาดในชีวิตมันก็คือการได้มาทำงาน เจอผู้คน เจอแฟนๆ เพิ่งมารู้ว่าเราเป็นคนชอบการแสดงในระยะเวลาที่มันผ่านมา อะไรที่ขาดไปเราก็รู้ว่าอะไรจะมาเติมเต็มเรา”

หายไปกี่เดือน?ประมาณ 2 เดือนได้ครับ กลับมาก็ปรับตัวเยอะเหมือนกันครับ เรายังเก็บไว้ว่าอะไรที่เป็นบทเรียนเรา อะไรที่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น อะไรที่ทำให้เราพร้อมที่จะทำงาน ลุย สู้ไปกับมัน เหมือนทำให้ตัวเองกลมกล่อมขึ้นมั้งครับ

เราหาคำตอบให้กับตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น? “ใช่ครับ เราหาคำตอบให้ตัว ผมรู้สึกว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมคิดว่าตัวเองอ่อนแอมากเลย เราแย่มาก จนเมื่อไม่กี่วันก่อน เราไปเป็นงานแรกก่อนที่จะเป็นทีเซอร์ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเราพร้อมแล้ว เราพร้อมที่จะกลับมาทำงาน เราคิดว่าอะไรมันขาดหายไปก็อยากจะเอาสิ่งนั้นมาเติมเต็มเรา นั่นก็คือการทำงาน เจอสิ่งแวดล้อม เพื่อนๆ คนเดิมที่เราคุ้นหน้า พร้อมที่จะออกไปทำงานที่ใหม่ด้วย”

อะไรมันจุดไฟเราอีกครั้ง? “ผมว่าคนเราต้องการสิ่งที่ตัวเองขาดหายไปทุกคนครับ ทุกคนยังมีความต้องการอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งพอเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เราก็พยายามที่จะเอาสิ่งนั้นกลับมา ไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตามแต่ครับ ที่กำลังทำอยู่ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการนั้น”

เราฮีลใจตัวเองยังไง?เล่นกับหมาครับ คุยกับพ่อแม่ที่เรารู้สึกว่าเราห่างเหินไปนานมากเลย เมื่อก่อนด้วยความเป็นเด็กม.6 ได้เรียนที่ม.เกษตร ขึ้นมากรุงเทพฯคนเดียว เราสบายมากอยู่ได้ จนเกิดเรื่อง ทำให้รู้สึกว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย แล้วก็ไม่เคยพูดที่ไหนเลย ไม่ว่าจะสัมภาษณ์เมื่อ 3 ปีที่เข้าวงการมา ผมว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่ ทุกคนที่อยู่กับเรา ณ เวลานั้น แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆ แล้วครอบครัวเรา ซัพพอร์ตเราอยู่ตลอดเวลาแล้วก็เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีบุญคุณกับเรามาก”

2 เดือนที่อยู่กับครอบครัวได้แสดงออกอย่าง? “คงจะเป็นการแสดงทางด้านอารมณ์ครับที่เราเก็บกดมานานมาก เราไม่เคยร้องไห้ให้เขาเห็นเลยมานานมากตั้งแต่ตอนโดนตีด้วยไม้แขวนเสื้อ จนตอนนี้ 22 ปีแล้ว เหมือนเราไม่มีอะไรจะต้องทะนงตัวแล้วครับ เราไม่จำเป็น เราอ่อนแอใส่เขาได้เลย เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าขาดพ่อกับแม่ไปทำไงวะ

แล้วก็มีพี่ชายอีก 2 คนที่เราปรึกษา พูดอะไรเขาก็หัวเราะเฮฮากับเราไปหมด ทำให้เรานึกถึงคำว่าครอบครัว ผมมีไลน์พี่ซี พฤกษ์ อยู่ เขาจะตั้งชื่อว่าแฟมิลี่ ผมไม่เคยเข้าใจคำนั้นเลย เพราะเราไม่ได้อินกับครอบครัวมาก เพื่อนทำงานเราไม่เคยจะนึกถึงเขา แต่ตอนนี้ผมเก็ตละทำไมพี่เขาตั้งว่าแฟมิลี่”

เราดึงตัวเองกลับมาได้เร็ว? “ผมว่าถ้าไม่มีครอบครัวตอนนี้ผมไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมอาจจะทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ แต่ด้วยความที่เรามีครอบครัว แล้วเราก็คุยว่าทำไมพี่อ๊อฟใจดี ยังให้งานเรา ไม่เคยทิ้งเราเลย เราก็คุยกับพ่อแม่ แม่เขาก็บอกจะไปหาผู้จัดการดีๆ แบบนี้ได้ที่ไหน คิดเอาไว้ ก็จริงว่ะ เราก็เริ่มกลับมา จากทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา”

เราเริ่มนับหนึ่งใหม่? “จริงๆ แล้วผมนับหนึ่งใหม่ทุกปีครับ รู้สึกว่าเจออะไรต้องเปลี่ยนตัวเอง เจอเรื่องใหม่ๆ ทุกปี แต่ปีนี้หนักสุดจริงๆ”

เคยคิดไหมว่าเราอาจจะไม่ได้กลับมาทำงานตรงนี้แล้ว?มีแว๊บเข้ามาเยอะครับ ถ้าเราทิ้งทุกอย่างก็จบเลย ปัญหาจบ ไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าชอบอะไรอีกแล้ว ตอนนั้นเรารู้ละว่าการแสดงคืออะไรที่เราหลงรักแล้วครับ อยู่มา 2 เดือนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่ดูซีรีส์พยายามแสดงตามเขา ผมเพิ่งมารู้ตัวว่าผมเป็นคนที่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ตัวละครในซีรีส์เขาแสดงอารมณ์ไหนอยู่ เขาก็จะพยายามนั่งและซึมซับอารมณ์เขามา

ซึ่งเราเพิ่งมารู้ตอนที่เราเรียนการแสดง เรื่องแรก ครูก็บอกนี่คืออีกหนึ่งวิธีการเรียนการแสดงคือการจ้องตาเรียนรู้ว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ เราก็รู้ว่าการที่เราอยู่ 2 เดือนที่ไม่มีการแสดงไม่ใช่เราละ เรากลับมาอยู่ๆ พี่อ๊อฟก็ไลน์มาทางผู้จัดการว่าดูมันดิกำลังจะมีซีรีส์เรื่องซอมบี้อยากเล่นมั้ย ผมก็ตอบแบบไม่คิดเลย เล่นครับ ไม่ได้ถามรายละเอียดไรเลย เดี๋ยวไปลุยกันครับ เราก็บอกแม่จะกลับกรุงเทพละนะ กลับไปลุยงาน ชอบมาก”

วันที่บอกพ่อแม่ว่าจะกลับมา เขาว่าอย่างไรบ้าง? “ผมก็แค่เดินไปบอกว่าวันนี้มีงานการแสดงนะ ต้องขึ้นไปเป็นซอมบี้ เขาก็บอกเดี๋ยวแม่ไปส่ง แต่ในใจรู้กันแล้วว่าดี เห็นลูกกลับมายืนได้ เราก็รู้สึกภูมิใจด้วยที่เราแข็งแรงขึ้น เราไม่อ่อนแอ”

เราจะไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีก? “ก็ถ้าเป็นแบบนั้นอีกพี่อ๊อฟบอกก็เลิกคบกูไปเลย อันนี้เราพูดเล่นนะ แต่เราก็คิดว่าทำงานเขาเสียไปกี่งานแล้ว มันคือบทเรียนเราจริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ไหว เราต้องสู้ แต่วันนั้นถามว่าเสียใจกับการกระทำของตัวเองมั้ย เสียใจมากครับ เป็นวันที่เสียใจมากที่สุดของผมวันหนึ่งเลยที่ตัดสินใจแบบนั้นไป แต่ก็คงกลับไปแก้อะไรไม่ได้จริงๆ

ถ้ากลับไปผมก็คงทำเหมือนเดิม ตามตรงนะครับ ไม่รู้เป็นอะไรมั้ย หัวตื้อ เหมือนมองแสงไฟ แล้วไม่คิดอะไรเลย ปล่อยตัวทิ้ง มันไม่มีแรงที่จะฮึดขึ้นมา ในใจการแสดงความรู้สึก ผมรู้สึกว่าใจมันด้าน ไม่มีความรู้สึกเลย ใจสลายทุกอย่างไม่มีแรงทำอะไร ไปหาหมอพี่อ๊อฟก็พาไป ก็ให้เป็นยาช่วยกระตุ้นความอยาก ก็เริ่มออกกำลังกาย เริ่มคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะแก้ไขปัญหาในอนาคตยังไง

อยากบอกอะไรกับคนที่ซัพพอร์ตเรา? “พูดว่าขอบคุณมาหลายรอบมากครับ พูดว่ารัก คิดถึง จนเราคำพูดพวกนี้เราละอายใจที่จะพูดไปแล้ว แต่เราก็ยังต้องพูดคำเดิม เพราะว่ามันมีความหมายอย่างนั้นจริงๆ ขอบคุณมาก คิดถึง รักทุกคนที่ยังติดตามอยู่

แล้วก็ยังเข้ามา มีเป็นเพจบ้านครับ มีป้ายไฟ ทุกคนยังแท็กเรามา เอาสตอรี่เราไปรีโพสต์ ไม่รู้จะพูดยังไงนอกจากขอบคุณจากใจจริง มันเป็นอีกแรงหนึ่งที่ทำให้เราฮึดกลับมาด้วย เพราะผมก็มีช่วยหนึ่งที่ไถทวิตเตอร์ เราก็มานั่งดูว่ายังมีคนคิดถึงเราอยู่มั้ย ทุกคนก็ยังให้การตอบรับที่ดีอยู่ ขอโทษทุกคนที่ปล่อยให้รอนาน ผมกลับมาแล้ว ขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง”

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ