ค้านนโนยายเปิดผับบาร์ตี 4 ซ้ำเติมปัญหาคนเมา นักวิชาการจี้รัฐชั่งน้ำหนักสูญเสียทางสุขภาพ สังคม มหาศาล แค่ปีเดียวคนเมาเจ็บ-ตาย สูญมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1.6 แสนล้านบาท
รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวถึงกรณีข้อเสนอขยายเวลาเปิดผับบาร์ถึง 04.00 น. ในพื้นที่ ถนนบางลา จ.ภูเก็ต, กระบี่, พังงา สมุย พัทยา และในกรุงเทพฯ คือ ถนนข้าวสาร ซอยคาวบอย และซอยพัฒน์พงษ์ ว่า
การขยายเวลาในการเปิดสถานบันเทิงทำให้ผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮลเพิ่มขึ้นแน่นอน เช่น ออสเตรเลีย มีการดื่มและเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น ประเทศไอซ์แลนด์ มีจำนวนผู้บาดเจ็บจากการวิวาท ต้องเข้าห้องฉุกเฉินเพิ่มข้น และนอร์เวย แค่เพิ่มการขาย 1 ชั่วโมง ทำให้มีเหตุทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้น 16%
ส่วนในไทย ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2565 พบว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา คนไทยมีพฤติกรรมดื่มแล้วขับสูงถึง 49.8% โดยเฉพาะช่วงกลางคืนทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน การทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย ซึ่งสัมพันธ์กับมูลค่าความเสียหายที่รัฐต้องแบกรับ
โดยจากการศึกษาต้นทุนทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยปี 2564 ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 165,454 ล้านบาท คิดเป็น 1.02% ของ GDP
รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวว่า ข้อมูลเหล่านี้เป็นความจริงที่ ครม.ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเงินรายได้จากการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงกับต้นทุนทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดจากแอลกอฮอล์ได้หรือเสียมากกว่ากัน
อย่างไรก็ตามตนมองว่าไทยไม่ควรขยายเวลาหากยังไม่มีมาตรการทางกฎหมายหรือนโยบายและระบบเข้ามารองรับและเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น การตั้งด่านตรวจลมหายใจแบบสุ่ม มาตรการความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ และบริษัทแอลกอฮอล์ต่อผลกระทบและความสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ เช่น อุบัติเหตุจราจร ทะเลาะวิวาท และคดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
ด้าน นายกันตณัช รัตนวิก ผู้ประสานงานสมาคมเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนาภาคใต้ตอนบน กล่าวว่า จากการพูดคุยภาคีในจังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของนโยบายขยายเวลาเปิดผับบาร์ถึงตี 4 พบว่าเสียงเป็นเอกฉันท์ ทุกคนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะมั่นใจได้ว่าจะเกิดผลกระทบกับเด็ก เยาวชนและประชาชนในพื้นที่อย่างแน่นอน
ในขณะที่สภาพพปัญหาปัจจุบันก็ยังแก้ไม่ตก คนเมาแล้วขับเต็มถนน ผลกระทบจากการกินดื่มที่เกินขอบเขตขาดความรับผิดชอบยังทวีความรุนแรงอยู่ ดังนั้นการขยายเวลากินดื่มคือการเพิ่มคนเมาให้มากขึ้นในพื้นที่ ความเสี่ยงย่อมเพิ่มขึ้น และคนรับกรรมคือคนในพื้นที่ ไม่ใช่คนที่ตัดสินใจเชิงนโยบาย
ทั้งนี้การตัดสินใจโดยขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่ถือว่าอันตราย เป็นการที่รัฐจะมุ่งใช้แต่อำนาจ ไม่เป็นประชาธิปไตย ซ้ำเติมปัญหา ทั้งๆ ที่รัฐควรสร้างความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวให้มากขึ้นจะดีกว่ามาสร้างนโยบายทำลายสังคมแบบนี้