กกต.สรุปผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 75.22 % สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ เร่งสอบปมร้องเรียน 168 เรื่อง เป็นซื้อสิทธิ์ขายเสียง 59 เรื่อง หลอกลวงใส่ร้าย 58 เรื่อง เจ้าหน้าที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบ 18 เรื่อง
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 15 พ.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. พร้อมด้วย นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. แถลงข่าวสรุปภาพรวมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั่วประเทศ พร้อมขอบคุณผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ร่วมออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566”
นายอิทธิพร กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้มาใช้สิทธิ์และทั้งหมด 39,293,867 คน จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ 52,238,594 คน คิดเป็นจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์โดยเฉลี่ยทั่วประเทศ 75.22% ถือว่าเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ที่กกต.เคยจัดการเลือกตั้งมา 7 ครั้ง โดยในปี 2562 มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งโดยเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 74.87%
ทั้งนี้ การที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ สูงถือเป็นตัวเลขที่น่ายินดี สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง และทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในปี 2562 มีหลายประเด็น และได้รับการแก้ไขและไม่เกิดขึ้นอีก ส่วนข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ แต่การรายงานผลล่าช้าไปมากจากที่ประเมินไว้ว่าจะจบที่ 22.00-23.00 น. เพราะเจ้าหน้าที่ต้องการให้เกิดความถูกต้องเพื่อให้ความมั่นใจว่าข้อมูลที่แชร์สู่สารธารณะถูกต้องที่สุด ตนขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่ร่วมกันจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
สำหรับผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นข้อมูล ณ เวลา 09.00 น. ดังนี้ ส.ส.แบบแบ่งเขต พรรคการเมืองที่ได้คะแนนสูงสุด คือ พรรคก้าวไกล 112 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยได้ 112 ที่นั่ง ภูมิใจไทยได้ 68 ที่นั่ง พลังประชารัฐได้ 39 ที่นั่ง รวมไทยสร้างชาติ 23 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ 22 ที่นั่ง ชาติไทยพัฒนา 9 ที่นั่ง ประชาชาติ 7 ที่นั่ง ไทยสร้างไทย 5 ที่นั่ง เพื่อไทรวมพลัง 2 ที่นั่ง ชาติพัฒนากล้า 1 ที่นั่ง
ส่วนแบบบัญชีรายชื่อ มีพรรคการเมืองที่ได้เก้าอี้ไปทั้งหมด 17 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคก้าวไกลได้ 39 ที่นั่ง เพื่อไทยได้ 29 ที่นั่ง รวมไทยสร้างชาติได้ 13 ที่นั่ง ภูมิใจไทย ได้ 3 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ได้ 3 ที่นั่ง ประชาชาติ 2 ที่นั่ง พลังประชารัฐ 1 ที่นั่ง เสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง ไทยสร้างไทย 1 ที่นั่ง ประชาธิปไตยใหม่ 1 ที่นั่ง พรรคใหม่ 1 ที่นั่ง พรรคชาติพัฒนากล้า 1 ที่นั่ง ท้องที่ไทย 1 ที่นั่ง พรรคเป็นธรรม 1 ที่นั่ง ชาติไทยพัฒนา 1 ที่นั่ง พลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง ครูไทยเพื่อประชาชน 1 ที่นั่ง
นายอิทธิพร กล่าวต่อว่า สถานการณ์ภาพรวมของเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาในมุมมองของกกต.เห็นว่าเป็นไปโดยเรียบร้อย แต่ 1 จังหวัดนครปฐม ที่ต้องปิดประกาศงดการลงคะแนน 1 หน่วย คือหน่วยที่ 10 หมู่ที่ 8 ตำบลบางแขม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ถูกพายุฝนทำให้เต็นท์ล้มเสียหายไม่สามารถดำเนินการลงคะแนนเลือกตั้งได้
ส่วนรายงานการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งอื่นๆ พบว่า มีการฉีกบัตรเลือกตั้ง 24 ราย จำหน่ายสุราในช่วงที่กฎหมายห้าม 7 ราย ถ่ายรูปบัตรที่เห็นเครื่องหมายลงคะแนน 4 ราย ในส่วนของคำร้องเรียนจนถึงเวลา 09.00 น วันที่ 15 พ.ค. ทั้งสิ้น 168 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียง 59 เรื่อง หลอกลวงใส่ร้าย 58 เรื่อง เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบ 18 เรื่อง และเรื่องอื่นๆ เช่นกันฝ่าฝืนถึงกฎหมายการเลือกตั้งและพรรคการเมืองในหลายๆ มาตรา
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับปี 2562 คำร้องเรียนมีทั้งหมด 592 เรื่อง ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าผู้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง พยายามปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ทำการฝ่าฝืนกฎหมาย จึงหวังว่าตัวเลขการร้องเรียนจะไม่สูงขึ้นกว่า ปี 2562 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง สามารถแจ้งเหตุไม่ใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 21 พ.ค.ที่ สถานีอำเภอหรือแจ้งผ่านแอพพลิเคชั่น Smart Vote
นายอิทธิพร ยังกล่าวถึงกระบวนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งว่า ตามกฎหมาย กำหนดให้กกต.ประกาศรับรองผลภายใน 60 วัน ซึ่งภายใน 5 วันนี้ จะมีการตรวจสอบความถูกต้องของการนับคะแนน และจากนั้นจะตรวจสอบว่าผู้ได้รับการเลือกตั้งมีข้อร้องเรียนว่ามีการกระทำใดที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่ หรือทำให้ต้องเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา โดยทั้งหมดต้องใช้เวลาภายในกรอบ 60 วัน ซึ่งการพิจารณาให้ใบเหลือง ใบแดงนั้นกฎหมายกำหนดว่า ก่อนการประกาศผล กกต. มีอำนาจให้เฉพาะใบส้ม หรือระงับสิทธิสมัครชั่วคราว แต่ถ้าหลังการประกาศผลแล้ว การให้ใบแดง คือการเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง หรือใบดำ การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ขึ้นอยู่กับว่า กกต.เห็นว่าผู้กระทำผิดนั้นต้องรับโทษอะไรบ้าง แต่ทั้งหมดจะต้องเสนอให้ศาลฎีกาพิจารณา
เมื่อถามถึงผลการประชุมกรณีที่กปน.ดึงบัตรเลือกตั้งขาด ให้กับผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งที่เขตห้วยขวาง นายอิทธิพร กล่าวว่า ตามกฎหมายกำหนดให้เหตุที่เกิดในหน่วยเลือกตั้ง เป็นอำนาจกรรมการประจำหน่วยในการวินิจฉัย ซึ่งที่ประชุมกกต.เมื่อวานพิจารณา และทราบข้อมูลว่าหลังเกิดเหตุ กรรมการประจำหน่วยมีการประชุม เห็นว่าไม่ได้เกิดจากการเจตนาจงใจ จึงมีมติให้เป็นบัตรที่สามารถใช้ลงคะแนนได้ จึงจ่ายให้กับมาใช้สิทธิได้นำไปลงคะแนน แต่ผู้ใช้สิทธิกังวลว่า จะกลายเป็นบัตรเสียหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกต. เห็นว่า เมื่อกปน.ปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้อง และอำนาจวินิจฉัยเป็นของกรรมการประจำหน่วย ก็ต้องถือว่ากปน.ปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้องแล้ว