ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์” (Icon of the Seas) เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เริ่มออกเดินทางเชิงพาณิชย์ครั้งแรกจากไมอามีแล้วเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางทั้งเสียงชื่นชมยินดีและเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ มีความยาวถึง 365 เมตร ซึ่งสูงกว่าหอไอเฟล และยาวกว่าเรือไททานิกเกือบ 100 เมตร ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 250,800 ตัน หรือหนักกว่าไททานิก 5.4 เท่า มีความสูง 20 ชั้น สามารถรองรับผู้โดยสารและลูกเรือรวมกันได้มากกว่า 7,000 คน
เรือสำราญ ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ เป็นของบริษัท Royal Caribbean ใช้เงินในการสร้างกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.1 หมื่นล้านบาท) สร้างขึ้นที่อู่ต่อเรือในฟินแลนด์ของ Meyer Turku หนึ่งในบริษัทต่อเรือชั้นนำของยุโรป และเดินทางมาถึงไมอามีเมื่อวันที่ 10 ม.ค.
สำหรับการเดินทางเที่ยวแรกของ ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ นั้น เป็นทริปการล่องเรือ 7 คืนไปยังแคริบเบียนตะวันออก ซึ่งบัตรโดยสารทุกใบถูกขายหมดเกลี้ยง แม้ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่เหยียบ 1 แสนบาทก็ตาม
ความบันเทิงที่น่าสนใจของเรือสำราญใหญ่ที่สุดในโลกลำนี้คือมีทั้งสวนน้ำขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำขนาดใหญ่, สนามกีฬาน้ำแข็งขนาดใหญ่, การบรรเลงเพลงของวงออร์เคสตรา, โชว์เรื่องพ่อมดแห่งออซ ฯลฯ
อย่างไรก็ดี เรือ ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยในเรื่องของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากเรือสำราญขนาดใหญ่เช่นนี้
โฆษกของ Royal Caribbean กล่าวว่า ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ ประหยัดพลังงานมากกว่าเรือที่ออกแบบในปัจจุบันถึง 24% และบริษัทวางแผนที่จะเปิดตัวเรือที่มีปริมาณสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2035
โดยเรือ ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ไม่ใช่ตัวเลือกเชื้อเพลิงที่เหมาะสม
ไบรอัน โคเมอร์ ผู้อำนวยการโครงการทางทะเลของสภาระหว่างประเทศว่าด้วยการขนส่งที่สะอาด กล่าวว่า “การตัดสินใจของ Royal Caribbean ในการใช้ LNG ถือเป็นความผิดพลาดด้านสภาพอากาศครั้งใหญ่ที่สุด”
เขาเสริมว่า “LNG ส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่าในช่วง 20 ปีแรกหลังจากปล่อยออกมา ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ ใช้เครื่องยนต์ที่ปล่อยมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศในรูปแบบของ มีเทนสลิป”
ทั้งนี้ โคเมอร์ ไม่ได้ปฏิเสธว่าเรือ ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ สามารถประหยัดการใช้พลังงานได้จริง โดยชี้ว่า หัวเรือที่เป็นทรงโค้งพาราโบลาได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้เรือเคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้นผ่านน้ำและช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ ยังสามารถผลิตน้ำจืดมากกว่า 93% ผ่านการรีเวิร์สออสโมซิส นอกจากนี้ ยังมีระบบไพโรไลซิสเปลี่ยนของเสียเป็นพลังงาน (MAP) ซึ่งสามารถแปลงขยะบนเรือให้เป็นก๊าซที่เรือสามารถใช้เป็นพลังงานได้
สำหรับโซนต่างๆบนเรือ แบ่งออกได้เป็น 8 โซนหลักๆ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อดึงดูดกลุ่มประชากรหลายช่วงอายุ เพื่อตอบโจทย์ทุกความสนใจของผู้โดยสาร ไม่ให้เบื่อหน่ายในการล่องเรือนี้
คอลลีน แม็กเดเนียลส์ หัวหน้าบรรณาธิการของ Cruise Critic บอกว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย เรือลำนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งขันโดยตรงกับรีสอร์ตบนบก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรีสอร์ตที่รองรับครอบครัว”
ร็อบ แคลบเบอร์ส ผู้ก่อตั้งและประธาน Q Cruise + Travel กล่าวว่า “บนเรือเต็มไปด้วยความบันเทิง, สิ่งอำนวยความสะดวก, ร้านอาหาร, การแสดงคุณภาพ และกิจกรรมที่หลากหลาย แม้กระทั่งการออกแบบพื้นที่ภายในและภายนอก เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการเข้าพักในรีสอร์ตบนบกส่วนใหญ่ และนั่นยังไม่รวมถึงสิ่งที่คุณสามารถทำได้ขณะขึ้นฝั่ง”
ที่พักบนเรือมี 28 ประเภท ตั้งแต่ห้องโดยสารขนาด 14.5 ตารางเมตรสำหรับ 2 คน ซึ่งเริ่มต้นที่ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 128,000 บาท) ต่อสัปดาห์ ไปจนถึงทาวน์เฮาส์ 3 ชั้นสำหรับ 8 คนที่มีทั้งดาดฟ้า, โรงภาพยนตร์ และอ่างน้ำร้อนกลางแจ้ง ราคาเฉลี่ย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.5 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์