หากจะพูดถึงตัวแม่ของวงการบันเทิง หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของสาวครบเครื่อง “แคท-แคทรียา อิงลิช” ที่เรียกได้ว่าโตมากับวงการบันเทิงอย่างแท้จริง เพราะเข้าวงการมาตั้งแต่เด็ก ยังพูดไทยไม่ชัดก็มีผลงานออกมาให้ชมแบบรัวๆ ทั้งละคร พิธีกร และโด่งดังเป็นพลุแตกกับการพลิกโฉมมาเป็นนักร้องสาวขาแดนซ์เจ้าของแฟชั่นเอวลอย พราวเสน่ห์จนใครๆ ก็บอก “โอเคนะคะ” กันทั่วบ้านทั่วเมืองและถูกยกให้เป็น PRINCESS OF DANCE อีกด้วย
หลังจากนั้นแคทรียา ก็โลดแล่นในวงการบันเทิงมีผลงานออกมามากมาย มีแฟนคลับล้นหลาม จนถึงตอนนี้เวลาผ่านมากว่า 30 ปี แคทก็ยังมีผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตามเสมอ อย่างล่าสุดเจ้าตัวก็จัดหนักจัดเต็มกับบทแซ่บ “ปลื้ม” ในละครเข้มข้นสะท้อนเรื่องเวรกรรมอย่าง “เวราอาฆาต” ออกอากาศทางช่อง 8 แซ่บจนแฟนละครติดกันงอมแงม
งานนี้ sanook.com พลาดไม่ได้ขอบุกไปพูดคุยกับสาวเก่งคนนี้ถึงความท้าทายในละครเรื่องล่าสุด รวมทั้งจัดหนักรีวิว 30 ปี ในวงการบันเทิงของสาวที่ได้ฉายาเรื่องความเป๊ะ ว่าเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่า โหด มันส์ ฮา เศร้าเคล้าน้ำตามีครบทุกรส
ถามถึงเรื่อง “เวราอาฆาต” หน่อย บท “ปลื้ม” เป็นยังไงบ้าง?
“ปลื้มเป็นคนไม่ยอมคนตั้งแต่แรกเลย ก่อนจะเจอพี่เรืองก็เล่นงานแม่ค้าในตลาด เอาหมดใครมาเอาเรื่องฉันไม่ได้ ฉันไม่ยอม สู้คนมากๆ ทะเยอทะยาน พอมาเจอ พี่เรือง (เคลลี่ ธนะพัฒน์) ก็ คือ รักเลย ความที่รักเขามาก ก็พยายามเอาชนะ จะเอาคนนี้ให้ได้ แต่ปรากฏว่าพี่เรืองก็ไปรักกับ เอม (โบว์ แวนด้า) เราก็ยุแยงเขา สุดท้ายพี่เรืองเมาก็เสร็จปลื้ม มีลูก ตอนแรกพี่เรืองเขาเป็นคนดี แต่ด้วยสถานการณ์ทำให้เขาได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม พี่เรืองเป็นยังไง ปลื้มก็เออออตามผัว ทำเลวก็เลวด้วย เหมือนสร้างเวรสร้างกรรมด้วยกัน”
“ในเรื่องจะได้เห็นว่าไม่ต้องรอชาติหน้าเลย ชาตินี้ก็ทันได้เห็นว่าเวรกรรมมีจริง พี่เรืองเปิดบ่อน มีซ่อง เริ่มรวยเริ่มมีนอกบ้าน ปลื้มก็ไม่ยอมตามเล่นงานเมียน้อย ตามกระทืบถึงที่ อ่านบทแล้วโอ้โห! ไม่ใช่กระทืบธรรมดา แต่เล่นปางตาย แล้วจะมีเมียน้อยที่เขาเอาเข้าบ้านชื่อ วันเพ็ญ เราก็ไม่ยอม ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อจะเอานางออกจากบ้านไปให้ได้”
ผ่านบทหนักๆ มาเยอะมาก เรื่องนี้ความยากอยู่ตรงไหนบ้าง?
“เป็นบทที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเล่นมาเลยนะ เพราะด้วยสิ่งที่ตัวละครทำด้วย อย่างก่อนหน้านี้เรื่อง เรือนสายสวาท ว่าหนักแล้ว มาเจอเรื่องนี้หนักกว่าอีก ผัวกลับมาบ้านก็ทะเลาะกัน จิกหัว ตบตีกันตลอด ไม่มีผ่อนเลย เครียดมากนะแต่ดีทาง ป๋าบุ๋ม ปกาสิต ผู้กำกับเขารู้ว่าแคทจริงจังกับบทมาก เวลาคัทเขาก็จะมาแกล้ง มาหยอกให้เราคลายเครียด เหมือนได้ผ่อนคลาย ได้เบรกบ้าง”
“เรื่องนี้เจอพี่เคลลี่ทีไรต้องตบตีกันตลอด ทั้งโกรธแค้น ผัวไม่ยอมเรา เราก็ไม่ยอมผัว ด่ามาด่ากลับ มีอยู่ฉากนึงที่พี่เคลลี่ลืมตัวแต่ดีที่เรารับมือเขาได้ เป็นฉากในซ่อง มีผู้หญิงมานัวเนียเขา 3 คน แล้วเราก็ไปเห็น จัดการเลย ตบตี กระทืบ พี่เคลลี่ก็จัดการเราด้วยการจิกหัวโยน พี่เขาจิกหัวเราแล้วลืมกำลังตัวเอง เพราะอินเนอร์มาเต็มละ ก็เหวี่ยงเราตัวลอยเลย ออกมาจากฉากขำมาก พี่เขาเดินออกมาขอโทษใหญ่เลย เคมีเรามันแรงมาแรงกลับตลอด สนุกมากค่ะ”
“เรื่องนี้สำหรับแคทรู้สึกว่าครบรสจริงๆ มันจะมีหวานจากพระนาง ที่จะเป็นโหมดเบาๆ ผ่อนๆ ของละคร แล้วจะมีความแรงของคู่เรือง ปลื้ม และเมียน้อยทั้งหลาย รวมถึงทีมอื่นๆ ที่เขาสร้างเวรสร้างกรรมกันในเรื่องด้วย”
การถ่ายทำเรื่องนี้ราบรื่นไม่ติดปัญหาโควิดใช่ไหม?
“ราบรื่นค่ะ โชคดีปิดกล้องพอดีโควิดมา แต่ โอ้โห! ดราม่า ร้องไห้ตลอดเลย ร้องอยู่นั่นแหละ กรี๊ดตลอด ถึงบอกว่าเรื่องนี้หนักสุด คือเรื่องของเวรกรรมจะเบาๆ ไม่ได้ มันต้องแรง ให้คนรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ มันเป็นการสอนด้วยว่าสิ่งที่ทำไป เราก็ได้รับกลับมา เราทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ไม่ใช่แค่ตัวเราแต่ตกทอดมาที่ลูกด้วย หนักจนแคทคิดว่าแล้วฉันจะเล่นอะไรต่อได้เนี่ย (หัวเราะ) เรื่องอื่นที่เข้ามาดูเบาไปเลย”
อยู่วงการมา 30 ปี ยังไม่หยุดค้นหาสิ่งที่มีในตัวเองเลย?
“แคทรู้สึกว่าแคทโชคดีที่ได้เป็นนักแสดงของผู้กำกับที่เก่ง อย่าเช่น ป๋าบุ๋ม ที่กำกับเรื่องนี้ ป๋าเขาเหมือนอาจารย์จริงๆ เราได้เรียนรู้จากเขาเยอะมาก อย่ามาคิดว่าการเป็นนักแสดงแล้วเรารู้ทุกอย่าง ผู้กำกับก็คืออาจารย์ของเราด้วยนะ เขาจะมองในมุมที่เราอาจจะคาดไม่ถึง แคทได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก และขอบคุณที่เขาดึงเอาบางอย่างในตัวแคทออกมา ฝากไปถึงนักแสดงรุ่นใหม่ๆ ว่าถ้าได้เจอผู้กำกับที่เก่ง โชคดีมากนะ ควรเก็บวิชามาเยอะๆ อย่าคิดว่าเรารู้ทุกอย่าง บางคนคิดว่าฉันรู้แล้ว ฉันเล่นแค่นี้แหละ แบบนั้นคุณไม่ได้พัฒนาตัวเองแน่นอน ไม่ว่าจะบทอะไรแบบไหนคุณจะเล่นออกมาเหมือนเดิม”
“แคทอยู่ในวงการมา 30 ปี แต่แคทได้รู้ว่าแคทยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะมาก สิ่งสำคัญ คือ ต้องเปิดใจ เปิดรับ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะไม่ได้อะไรมากกว่านี้ อย่าคิดว่าอยู่วงการมา 3 ปี 4 ปี หรือ 10 ปี แล้วจะรู้หมด ไม่หรอกค่ะ”
จาก “น้องแคท” สู่ “พี่แคท” กลายเป็นคนนึงที่ถูกเรียกว่า “คุณแม่” เป็นยังไงบ้างกับ 30 ปีที่ผ่านมา?
“30 ปี ในวงการ ถ้าถามถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองก็ไม่มีอะไรนะคะ แต่เรื่องการพัฒนาตัวเองมันต้องมีอยู่แล้วเพราะแคทเข้าวงการมาตั้งแต่ภาษาไทยยังไม่แตกฉานเลย (หัวเราะ) จากเรื่องคุณหญิงจอมแก่น ตอนนั้นเด็กมาก ยังเล่นโรลเลอร์สเก็ตอยู่เลย แต่พยายามทำเต็มที่ตั้งแต่เรื่องแรกเลย ไม่เคยห่วงสวย อยากให้ทำอะไรทำหมด เพราะรู้สึกว่านี่ คือ อาชีพ”
แต่ตอนนั้นเด็กมาก ทำไมเข้าใจว่านี่ คือ ความรับผิดชอบ?
“คุณแม่ค่ะ คุณแม่พูดอยู่ตลอดเลยว่า “ถูกต้องอาจไม่ถูกใจ” ถูกต้องคือ ฉันต้องรับผิดชอบ ฉันต้องลุกไปทำงาน จะตีอะไรก็แล้วแต่ ถ้าต้องทำงานยังไงก็ต้องลุก ถามว่าถูกใจมั้ย แน่นอนอยู่แล้วที่เราจะ ไม่เอา อยากนอน ง่วงอ่ะไม่อยากไปไหนเลย ไหนจะต้องไปโรงเรียนอีก เห้อ… ต่างๆ แต่สิ่งที่ถูกต้อง คือ เราต้องมีความรับผิดชอบ”
“การแสดงก็เหมือนกัน สิ่งที่ถูกต้อง คือ บทเป็นแบบนี้ การแต่งตัวแบบนี้ คาแร็กเตอร์แบบนี้ เราก็ต้องถ่ายทอดตัวนี้ ถึงไม่ถูกใจเพราะไม่ใช่เราก็เถอะ แน่นอนก็เพราะเรากำลังแสดงอยู่ไง (หัวเราะ) ถ้ามาบอกว่าฉันเล่นไม่ได้เพราะไม่ใช่ฉัน อย่างนั้นไม่ต้องมาเป็นนักแสดง คุณก็เป็นตัวของตัวเอง ทำอาชีพอื่นที่เป็นตัวเองไปก็แล้วกัน”
“เคยเล่นเรื่อง นางบาป เรื่องนั้นเล่นเป็นเด็กสลัม ใส่ผ้าถุง เสื้อยืด เขาก็บอกแต่งหน้าสักหน่อย แต่เราก็บอกว่าไม่เอา ก็เราเป็นเด็กสลัม จะมาผมเนี๊ยบ หน้าสวย มีขนตาเพื่อ!! ก็รู้แหละว่าภาพออกมาโทรม ไม่สวยแน่ๆ แต่ก็แล้วไงล่ะ เราเด็กสลัม มันคาแร็กเตอร์ แคทมองว่ามันเป็นความรับผิดชอบของนักแสดงที่ต้องแสดงให้สมบทบาทที่สุด และนี่คืออาชีพค่ะ”
“เมื่อก่อนแคททำงานแบบที่เรียกว่าบางทีก็ไม่ได้นอนเลย สมัยก่อนไม่มีนะคะสี่ทุ่มเลิกกอง แล้วแต่เลยจ้าว่าจะเลิกกี่โมง หกโมงเช้าก็มี สมัยนี้ต้องบอกว่าทีมงานและนักแสดงสบายขึ้นมาก อาหารการกินเหรอเมื่อก่อนปูเสื่อนั่งข้างถนนเลย ไม่มีหรอกจัดโต๊ะให้อะไรให้ เพราะฉะนั้นรุ่นก่อนก็ คือ ถึกมาก (หัวเราะ) จะมางอแง ง๊องแง๊ง ไม่ได้ เพราะเขาไล่ออกจากกองแน่ ทุกคน คือ คนทำงานเท่ากันหมด”
เพราะแบบนี้หรือเปล่าเลยเป็นคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่อง “ความเป๊ะ”?
“แคทเป็นคนที่พอเราทำงานก็คือเรามาทำงาน เราไม่ได้มาเล่น โอเคนะเวลาเราไม่ได้เข้าฉากเราก็จะมีผ่อนคลาย เล่นกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่แคทก็ไม่ได้เล่นมาก จะไม่เล่นมือถือ ไม่เล่นเกมส์ ไม่มีเลยค่ะ แล้วก็ไม่ชอบด้วยที่ใครจะเอามือถือเข้ามาเล่นหน้าเซ็ท เพราะคุณมาทำงาน ไม่ได้มาเล่นโซเชียล ไม่ต้องมาอัปเดตตัวเองหน้าเซ็ทหรอก”
นักแสดงเด็กๆ เขากลัวคุณแม่มั้ย?
“กลัวค่ะ (ยิ้ม) เพราะแคทค่อนข้างนิ่ง ที่นิ่ง คือ อ่านบท ไม่ใช่อะไร ดูว่าต่อไปเล่นอะไร บทยาวมั้ย แคทไม่ว่านะถ้าคุณทำการบ้านมาแล้วอยู่ในฉากจำบทไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดา เราก็เคยท่องมาอย่างดีก็ลืมได้เหมือนกัน แต่อย่ามาแบบว่า เออ ฉากนี้มีอะไรเหรอ? พูดว่าอะไรบ้าง? ถามว่าเรื่องแบบนี้มีจริงๆ มั้ย มีค่ะ (ยิ้ม) แคทก็แบบถามเขาว่า “น้องไม่ได้อ่านเลยเหรอคะ? เขาก็ยิ้มๆ แคทว่ามันก็อย่างที่แคทบอกแหละค่ะ มันคือความรับผิดชอบ อย่าทำให้คนอื่นเขาเสียเวลา มีคนตั้งกี่สิบคนที่เขาต้องรอคุณ”
เคยถึงขั้นทนไม่ไหวขอฟาดสักหน่อยบ้างมั้ย?
“ไม่ถึงกับองค์ลง แต่มีที่เรารู้สึกอึ้ง! มีนางเอกอยู่คนนึงชอบเอามือถือมาเล่นหน้าเซ็ทแล้วก็จะประมาณว่า “อะไรนะคะ?” “หนูต้องอยู่ตรงไหนนะคะ?” “ยังไงนะคะ?” “หนูต้องพูดอะไรนะคะ” แคทก็เลยบอกเขาว่า “วางมือถือก่อนมั้ย?”
“แล้วเขาต้องเข้าฉากที่สามีอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไป ต้องร้องห่มร้องไห้ เพราะสามีไปติดเด็กเลาจน์ เขาบอกว่า “อุ๊ย! หนูเล่นไม่ได้ค่ะ หนูไม่เข้าใจอารมณ์นี้ค่ะ ชีวิตหนูไม่เคยเจอค่ะ หนูเล่นไม่ได้ค่ะ” สุดท้ายแคทก็เลยพูดกับเขาว่า “โอเคลูก มันมีละครอยู่เรื่องนึงนะลูก ที่พี่ต้องเล่น ต้องโดนสิบล้อชนตาย พี่ต้องวิ่งออกไปที่ถนนแล้วให้สิบล้อชนตายก่อนมั้ยคะพี่ถึงจะเล่นได้ สรุปฉากนี้เล่นได้มั้ยคะ ถ้าเล่นไม่ได้ก็ไม่ใช่นักแสดงค่ะ” เขาก็ยิ้ม โอ้โห! ทุกคนในกอง คือ อื้อ นี่แหละสิ่งที่ต้องการ เพราะเราเสียเวลากับคนนี้เยอะจริงๆ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย”
“แคทเป็นคนที่ไปถึงกองเร็ว ถ้ากองไหนไม่เคยร่วมงานด้วยอาจจะงงๆ สมมตินัดหกโมงเช้าจะถึงประมาณตีห้า ตีห้าครึ่ง เพราะว่าเราถึงแล้วเราจะสบายใจ พอทีมงานมาปุ๊บเราก็พร้อมทำงานทันที ไม่ใช่พอมาถึง อ๋อ เดี๋ยวก่อนนะขอเข้าห้องน้ำ ขอทำนั่น ทำนี่ก่อน แคทไม่ได้มาเพื่อให้ใครเสียเวลา แคทรู้ว่าทุกคนมาทำงานก็อยากได้งาน แคทก็เหมือนกัน ทุกคนจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน”
แต่ความจริงนอกเวลาทำงานเป็นคนชิลล์มาก?
“แคทเป็นคนชิลล์มาก ถึงเวลาทำงานก็เถอะ ถ้าคุณไม่ทำอะไรที่รู้สึกว่าทำให้คนอื่นเขาเสียเวลา หรือ คุณไม่รับผิดชอบ แคทอะไรก็ได้ สบายๆ มากจริง เพราะแคทก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นรู้สึกเดือดร้อนเพราะแคทเหมือนกัน ถ้าคุณทำการบ้านมาแล้วเล่นไม่ได้ เรายินดีช่วยเลย เพราะปกติน้องๆ ก็จะมาปรึกษาเหมือนกันว่าจะเล่นยังไงดี เราก็ช่วยดู ช่วยแนะในส่วนที่เราทำได้เพราะเราก็มีความสุขที่เราได้ช่วยเขาในฐานะพี่”
ช่วงที่โด่งดังมากถึงขั้นเดินตลาดไม่ได้จริงมั้ย?
“เดินตลาดไม่ได้จริงมั้ยก็เดินไม่ได้จริง เดินได้แป๊บนึง (หัวเราะ) ปกติชอบเดินตลาด เดินหน้าราม ก่อนเข้าวงการเดินทุกวันสนุกมาก แต่พอเริ่มมีผลงานก็คือ ไม่ได้ละ โดนรุม ตอนนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปด้วยก็จะมาขอลายเซ็นต์อะไรแบบนั้น”
แล้วในความรู้สึกล่ะ รู้สึกว่าฉันดังมั้ย?
“ไม่เลย จนถึงวันนี้ก็ไม่รู้สึกว่าดัง บางทีก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าฉันคือ “แคทรียา อิงลิช” แต่คนอาจจะมองว่า เห้ย! นี่แคทรียา อิงลิช นะ แล้วไงล่ะ (หัวเราะ) แคทไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องได้อะไรที่พิเศษจากคนอื่นเลย ไม่เลย และก็ไม่เคยขออะไรพิเศษด้วย อาจจะเป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูสบายๆ”
“มีครั้งนึงที่แคทโพสต์รูปกินข้าวกับที่บ้าน ปูกระดาษหนังสือพิมพ์ที่พื้นแล้วนั่งทานข้าวกัน สะดวกมากเพราะนั่งกันหลายคน นี่คือความเคยชิน พอเราโพสต์รูปคนเข้ามาคอมเมนต์ถาม อุ๊ย! พี่แคทนั่งพื้นเหรอ? ก็แล้วไงล่ะ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว บ้านแม่ที่นครสวรรค์นอนกางมุ้งนะคะ มีความสุขมาก นั่นแหละค่ะ แคทเป็นแบบนั้น”
ชอบชีวิตช่วงไหนของตัวเองที่สุด?
“ยุค 80-90 ค่ะ ช่วงนั้นรู้สึกสนุก ไม่รู้สิแคทรู้สึกว่าชีวิตและสังคมดีมาก สมัยนี้สังคมเป็นอะไรก็ไม่รู้ เราก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าย้อนไปยุคนั้นบอกได้เลยว่าสุขมาก ไม่เครียด เหมือนว่าจิตใจมีความแคร์กันมากกว่ายุคนี้ สมัยนี้คนอารมณ์ร้อน ทำร้ายกันง่าย ไม่ว่าจะวิธีไหน ไม่ว่าจะคำพูด การกระทำ ทำร้ายกันได้ง่ายมาก ฆ่ากันได้ง่ายมาก เหมือนสังคมเครียดมากจนต้องหาที่ระบาย ระบายด้วยการกระทำคนอื่น แต่ยุคก่อนคนใจดีกว่านี้ เอื้อเฟื้อ ให้อภัย สมัยนี้มีแต่ความร้อน พร้อมปะทะ บูลลี่กันเยอะมาก แคทเกลียดมากคำว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” คุณรู้ แต่คุณไม่คิดว่าจะโดนไง (หัวเราะ) อย่ามาใช้คำนี้ เพราะก่อนที่คุณจะทำอะไรลงไปคุณคิดมาแล้ว”
กว่าจะเป็น “พี่แคท” ที่เป็นไอดอลของใครหลายๆ คน มันหนักแค่ไหน?
“หนักมาก คนอาจจะมองว่าสวยงาม เริศหรู ไม่มีใครเห็นชีวิตจริงของแคทหรอก แคทเป็นคนที่นุ่งกางเกงเล ใส่เสื้อยืดเก่าๆ อยู่บ้าน ไม่แต่งหน้า ไม่ทำผม ไม่อะไรเลย นี่แหละคือแคทจริงๆ ไม่ได้ต้องแต่งหน้า ทำผมทุกวัน แคทขี้เกียจ เราก็คนคนนึงนี่แหละค่ะ ไม่ใช่อะไรที่ผิดมนุษย์ที่ต้องสวยตลอด แต่สิ่งที่คนเห็นที่ออกไปก็คือเราทำทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว เป็นภาพที่สมบูรณ์ ส่วนเบื้องหลังก็คือ เราทำการบ้าน เราทำหลายอย่างมาก”
“บางคนอาจจะมองว่า อุ๊ย! สวยงาม อยากจะฝากลูกเข้าวงการ บอกเลยอย่าฝาก ถ้าแคทมีลูกแคทก็ไม่ให้เข้าวงการ (หัวเราะ) มันหนัก มันเหนื่อยมาก และเราไม่ใช่รับผิดชอบแค่ตัวเรา เราต้องรับผิดชอบสังคมด้วย การจะมาทำอะไรตามใจก็ใช่ว่าจะทำได้ตลอดนะ ต้องมองด้วยว่าการกระทำของเราส่งผลกระทบยังไงต่อคนที่มองเราอยู่บ้าง เราไม่สามารถคิดเพื่อตัวเราเองคนเดียวได้ เราต้องคิดเผื่อให้รอบด้านเลย เป็นเรื่องของความรับผิดชอบ ถ้าเราไม่พร้อม หรือ ใจไม่รักจริงๆ อยู่ไม่ได้หรอก โลกมายาเนี้ย มันไม่ได้สวยงาม แต่แคทไม่ได้บอกว่าตรงนี้ คือ สิ่งไม่ดีนะ แต่คุณพร้อมมั้ยล่ะกับความรับผิดชอบ”
ก็มีบางครั้งที่ช้ำจนคิดจะหันหลังให้วงการเหมือนกัน?
“เรื่องนั้นเป็นการเข้าใจผิดกัน ตอนนั้นไปงานแถลงข่าวงานคอนเสิร์ตการกุศลกับ พี่มอส ปฏิภาณ ที่สยามสแควร์ แล้ววันนั้นแคทมี 3 งาน ซึ่งงานนี้ก็เลทแล้ว งานที่ 2 เลทแน่นอน และงานที่ 3 ถ่ายทอดสด ยังไงก็ต้องรีบไป คุยกับทีมงานแล้วว่าคุยบนเวทีจบแล้วจะขออนุญาตไปเลยนะ ต้องรีบไปงานที่ 2 เพราะเลทแล้ว เขาก็บอกโอเคๆ ได้ๆ เราก็เข้าใจว่าเขาจะประสานงานว่าแคทต้องรีบไปงานต่อนะ แต่เขาไม่บอกจ่ะ แคทโดนด่าค่ะ นักข่าวบอกว่าแคทไม่ให้สัมภาษณ์”
“เขาบอกว่า นักข่าวขอสัมภาษณ์แคทแป๊บนึง แคทก็โอเค แต่สัมภาษณ์เลยนะ ขอไปซับหน้าแป๊บเดียวเพราะเหงื่อท่วมเลย พอเสร็จลงไปนักข่าวสัมภาษณ์พี่มอสอยู่ ไม่มีใครสัมภาษณ์แคท พีอาร์ที่ไปด้วยเขาก็ถามนักข่าวว่ามีใครจะสัมภาษณ์แคทไหม แคทรออยู่ตรงนั้น 20 นาที ไม่มีใครมาสัมภาษณ์แคทจริงๆ แคทก็เลยโอเค ไปแล้วนะ เพราะอีกงานรออยู่ ไม่ใช่แคทไม่ให้สัมภาษณ์นะ แคทยืนรอตรงนั้นจริงๆ”
“พอไปอีกงานก็คือเลท ใครรับผิดชอบล่ะ ไม่มี แล้วแคทไม่โอเคเลยเพราะแคทไม่เคยไปทำงานเลท ไม่ใช่ความผิดของแคท แต่แคทโดนด่า ก็ทำงานไปซวยเราไป ไม่เป็นไร พีอาร์ทางแกรมมี่โทรมาบอกว่านักข่าวแบนแคทหมดเลย จะไม่สัมภาษณ์ จะไม่ลงข่าวแคทอีกต่อไป เราก็ อ้าว! เกิดอะไรขึ้น เราทำอะไรผิด เขาก็บอกว่า แคทพูดว่าแคทไม่ให้สัมภาษณ์ เราก็ยิ่ง งง เราพูดตอนไหน แคทไม่เคยพูดว่าไม่ให้สัมภาษณ์ แคทยืนรออยู่ 20 นาที และแคทมีงานต่อ ในชีวิตนี้แคทไม่เคยพูดว่าแคทไม่ให้สัมภาษณ์”
“กลายเป็นโดนแบน ไปงานนักข่าวหันหลังใส่เลย ไม่มีใครถ่ายรูป ไม่มีใครสนใจแคทเลย เวลาผ่านไป 1 ปี แคทไปงานแต่งงาน พี่พิม ซอนย่า นักข่าวบอกว่า “กล้ามาด้วยเหรอ?” จริง พูดแบบนั้นจริงๆ เราก็บอก “เดี๋ยวก่อนนะคะ ทำไมพี่ถึงจะไม่กล้า” เขาบอกว่า “ก็ทำอะไรไว้ ก็น่าจะรู้นะ” แคทบอกเขาว่า “ไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ”
แล้วถามว่าจะขอโทษมั้ย ไม่ค่ะเพราะแคทไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าแคทผิด แคทแมนพอที่จะขอโทษในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ มันเป็นความบกพร่องของงานที่เราไปแล้วเขาไม่บอก ไม่ประสานงาน แล้วมีนักข่าวที่เขาเป็นรุ่นใหญ่ อยู่มานาน เขาก็ออกมาปกป้องว่า แคทไม่เคยมีปัญหากับนักข่าวเลย อยู่มานานแล้ว แคทไม่เคยพูดแบบนี้ เอาหัวเป็นประกันเลย เพราะฉะนั้นจะให้เขาขอโทษก็ไม่ถูก พวกน้องๆ ก็ต้องขอโทษพี่แคทนะที่พูดแรง เรื่องนั้นก็จบไป หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรอีกเลย”
“ที่ทำให้ถอดใจเพราะแคทรู้สึกว่าไม่แฟร์เลย แบนแคททั้งๆ ที่แคทไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ รู้สึกน้อยใจและเสียใจมาก”
ถ้ามีคนมาบอกว่า “อยากเป็นเหมือนพี่แคทจังเลย” เขาต้องทำอะไรบ้าง?
“ทำใจ (หัวเราะ) จริงๆ อย่างแรกเลยก็ทำใจเพราะเหนื่อยนะ ความรับผิดชอบสูง ต้องดูแลตัวเองสุดๆ ที่บอกว่า อุ๊ย! หุ่นดีจังเลย ก็คือไม่ได้นอนเฉยๆ แล้วหุ่นดีเลยนะจ๊ะ (หัวเราะ) ต้องอดทนสูง ท้อถอยไม่ได้ และใจต้องรักจริงๆ ค่ะ เพราะถ้าใจไม่รักเราทนไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ทนแบบมีลิมิตนะ (ยิ้ม) ไม่ใช่ว่าทนทุกเรื่อง อย่างเรื่องข่าวเอยอะไรเอยเพราะแคทก็โดนมาเยอะค่ะ”
จริงจัง จริงใจ สมความเป็นตัวแม่และเป็นไอดอลของใครหลายๆ คนจริงๆ สำหรับสาวเก่ง แคทรียา อิงลิช บอกได้เลยว่าทุกคำชมที่แคทรียาได้มา ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เพราะฝีมือ ความตั้งใจในการสร้างผลงานล้วนๆ ใครเป็นแฟนของ PRINCESS OF DANCE คนนี้ก็ส่งหัวใจให้คุณแม่กันรัวๆ บอกเลยว่าแซ่บ คุณภาพคับแก้วขึ้นทุกวันแน่นอน
- เรื่องจริงจากใจ “แคทรียา อิงลิช” เผชิญโรคซึมเศร้านับสิบปี เรียนรู้ความเข้มแข็งของใจและคำว่าสติ