แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุด 3 แชมป์ในปี 1999 เก่งแค่ไหนใครก็รู้ พวกเขาเป็นแชมป์ยุโรป และหลายคนบอกว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก..
แต่เดี๋ยวก่อน.. ความเชื่อนี้ถูกลบล้างอย่างรวดเร็ว จากการเดินทางไปประเทศบราซิล เพื่อลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ที่จัดขึ้นโดย ฟีฟ่า ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งโปรแกรมที่ชนกับ เอฟเอ คัพ ทำให้ต้องยอมถอนตัวจากการป้องกันแชมป์ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไป
ปีศาจแดง ชุดตำนาน โดนเล่นงานโดยทีมตัวแทนเจ้าภาพอย่าง วาสโก ดา กามา อย่างยับเยิน และ 2 นักเตะที่ปั่นหัว ยาป สตัม และ ยิงผ่าน มาร์ค บอสนิช ราวกับมีเวทมนตร์ คือ 2 เสือเฒ่าของวงการฟุตบอลแซมบ้า
ชื่อของทั้งคู่คือ “โรมาริโอ” และ “เอ็ดมุนโด” เจ้าฉายา “แบดบอยส์” คู่หูขวางนรกในสนาม แต่เมื่อหมดจากหน้าที่ พวกเขาเกลียดกันยิ่งกว่าอะไร … และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดโดย Main Stand
โตมาเหมือนกัน
เรื่องราวระหว่าง โรมาริโอ กับ เอ็ดมุนโด มีจุดเริ่มต้นราวกับหนังสักเรื่อง ที่พระเอกของเรื่องและคู่ปรับตัวฉกาจ เคยมีอดีตเป็นเพื่อนซี้กัน โตมาจากที่เดียวกัน และมีความฝันในการเป็ยนยอดคนเหมือนกัน
โรมาริโอ เป็นรุ่นพี่ เอ็ดมุนโด 5 ปี แม้ไม่ได้เล่นในทีมชุดใหญ่ของ วาสโก ดา กามา ด้วยกันในตอนเริ่มต้นอาชีพค้าแข้ง แต่ทั้งคู่ก็เติบโตมากับอคาเดมีของทีม และรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
โรมาริโอ มาก่อน และเป็นสุดยอดเด็กนรกแห่งยุคในช่วงยุคกลาง ๆ 80s ก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ในปี 1988 และทำได้ทุกอย่างที่กองหน้าระดับโลกควรจะทำให้ได้ แม้จะสูงแค่ 167 เซนติเมตร แต่ทั้งความพริ้ว ลีลา การจบสกอร์ และมาดของเขานั้นเกิดมาเพื่อเป็นสตาร์โดยแท้ และด้วยคุณสมบัติทั้งหมดทำให้เขาได้ย้ายไปเล่นในยุโรปกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในปี 1988
หลังจากที่ โรมาริโอ ออกไปได้ 1-2 ปี เอ็ดมุนโด ก็เป็นเด็กสร้างที่ต้องขึ้นมาทำหน้าที่แทน และทั้งคู่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก โรมาริโอ สร้างเรื่องราวไว้มากมายก่อนจะย้ายออก และนั่นทำให้ เอ็ดมุนโด ที่เชื่อว่าตัวเองก็เก่งไม่แพ้กันไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เขามั่นใจว่าเขาจะเป็นนักเตะที่ดีกว่า … จุดนี้มันไม่ใช่ความเกลียดชัง แต่มันคือความหงุดหงิดของเด็กคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในตัวเอง และโดนเอาไปเปรียบเทียบกับรุ่นพี่ตลอด ความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ความรู้สึกประมาณนั้น
แม้จะมีความรู้สึกเขม่นกันเล็ก ๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร พวกเขาทั้งคู่เปรียบเหมือนคู่ “ผีเห็นผี” รู้ไส้รู้พุงกันดี เพราะเป็นคนที่ทัศนคติต่อฟุตบอลคล้าย ๆ กัน นั่นคือการยึดถือเรื่องความสุขมาก่อนระเบียบวินัย พวกเขาเชื่อว่าเมื่อมีความสุขกับชีวิตเมื่อไหร่ ฟอร์มในสนามก็จะออกมาดีเอง
ดังนั้นทั้ง โรมาริโอ และ เอ็ดมุนโด เป็นเหมือนกันมาตั้งแต่เด็ก คือพวกเขาเป็นแข้งพรสวรรค์ที่ไม่ค่อยแยแสเรื่องการซ้อมเท่าไหร่ แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ด้วยฝีเท้าที่เกินเบอร์เพื่อนคนอื่น ๆ ไปเยอะ ยังไงก็ไม่มีทางที่กุนซือของทีมจะตัดพวกเขาออกจากทีมได้ง่าย ๆ
กุส ฮิดดิงก์ กุนซือของ พีเอสวี ในยุคที่ โรมาริโอ อยู่กับทีมเคยเล่าว่า การมีนักเตะแบบ โรมาริโอ นั้นเป็นอะไรที่แตกต่าง จนทำให้เขาต้องยอมปิดหูปิดตาข้างนึง นักเตะประเภทนี้เป็นศิลปิน และลงสนามแบบทัศนคติที่ทำเหมือนทุกอย่างเป็นของง่าย แค่ออกไปเล่นให้ชนะก็พอแล้ว จะเอาอะไรนักหนา … แม้ ฮิดดิงก์ จะผิดหวังเรื่องผลงานการซ้อมไปบ้าง แต่เขาไม่เคยผิดหวังกับผลงานของ โรมาริโอ เลย
“ในเกมใหญ่ ๆ ที่เรากำลังจะลงสนาม นักเตะคนอื่นแสดงสีหน้าวิตกกังวลและมันทำเอาผมเครียดไปด้วย ทางออกในเวลานั้นมันง่ายมาก โรมาริโอ จะเดินมาบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า ”ใจร่ม ๆ เด่ะโค้ช เดี๋ยวผมลงไปยิงให้เองน่าไม่ต้องห่วง เราชนะอยู่แล้ว ชนะแบบใสแจ๋วเลยจะบอกให้”
“เขาก็เป็นของเขาแบบนั้นแหละ แต่เชื่อไหม เวลาที่เขาพูดแบบนี้ทีไรได้เรื่องทุกที สมมุติผมส่งเขาลงสนาม 10 เกม เขาจะพาทีมเป็นผู้ชนะประมาณ 8 เกม … เรื่องมันก็เป็นแบบนี้” กุส ฮิดดิงก์ กล่าว
ขณะที่ตอนที่ย้ายไปอยู่ บาร์เซโลนา ด้วยราคาเป็นสถิติโลก โรมาริโอ ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น แม้แต่โค้ชอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ ก็ต้องยอมรับทัศนคติของเขาที่ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ปลายทางคือการเปลี่ยนแปลงผลการแข่งขันได้เสมอ ดังนั้นต่อให้จะวินัยเลวอย่างไร โรมาริโอ มักจะได้สิ่งที่ต้องการเสมอ
“คนอย่าง โรมาริโอ มันเป็นอะไรที่ต้องยอมใจเขาจริง ๆ มีเกม ๆ หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่งานคาร์นิวัลครั้งใหญ่ของบราซิลจะเริ่มขึ้น เขากล้ามาถามผมว่า จะขอลากลับบ้านไปเที่ยวสักสองวันได้ไหม … ผมเลยบอกเขาไปว่า งั้นแกลงไปยิงสัก 2 ประตูในเกมพรุ่งนี้ก่อน ฉันจะให้เวลาพักสักวันสองวัน”
“เมื่อเกมมาถึง ผมส่งเขาลงสนามและเขายิงประตูได้ 2 ลูก ตั้งแต่ 20 นาทีแรก จากนั้นเขายิ้มและวิ่งมาที่ข้างสนามก่อนบอกผมว่า ‘เอาน่าโค้ช ผมมีเครื่องบินส่วนตัว ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมงหรอก’ ผมจะทำอะไรได้นอกจากต้องรักษาสัญญาเท่านั้น”
นั่นแหละคือ โรมาริโอ ถ้าใครที่ยศไม่ใหญ่ ซีไม่เยอะพอ หรือไม่มีตั๋วช้าง แล้วมาสั่งให้เขาทำอะไรก็ยากที่จะได้สิ่งที่ต้องการกลับไป … ฟุตบอลคือเรื่องของผลลัพธ์ โรมาริโอ เชื่อเช่นนั้น ไม่ว่าจะเล่นกับสโมสรเล็กหรือใหญ่ ก็ไม่มีสโมสรไหนเปลี่ยนความคิดของเขาได้
อสูรรุ่นน้อง และการจับคู่ที่แฟนวาสโกฯเฝ้ารอ
ในขณะที่ โรมาริโอ ไล่ถล่มลีกยุโรป เอ็ดมุนโด ก็กลายเป็นกำลังสำคัญของ วาสโก ดา กามา เขาตัวใหญ่กว่า โรมาริโอ นิดหน่อย (สูง 177 เซนติเมตร มากกว่า โรมาริโอ 10 เซนติเมตร) แต่สไตล์การเล่นนั้นคล้าย ๆ กัน รวดเร็ว ปราดเปรียว คอนโทรลลูกบอลเป็นเลิศ และดุดันอย่างกันสัตว์ร้าย จนได้ฉายาว่า “ไอ้สัตว์ป่า”
สถิติการยิงประตูหรือคำกล่าวเล่าอ้างถึงเขาในสนามนั้นยอดเยี่ยมมาเสมอ แต่นอกสนามเขาไม่ต่างกับ โรมาริโอ เลย เขาคือคนที่เชื่อมั่นในการกระทำของตัวเองเป็นอันดับแรก เพราะเชื่อว่าตัวเองคือคนที่เก่งที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะเอาใครมาเทียบก็ตาม และหนึ่งในนั้นคือ โรมาริโอ ด้วย
“โรมาริโอ ก็ไม่ หรือต่อให้ โรนัลโด้ (R9) ก็ไม่ได้เก่งไปกว่าผมหรอก” นี่คือตัวอย่างคำสัมภาษณ์สุดผยองของเขา
“ถ้ากฎของรางวัลบัลลงดอร์เปลี่ยนตั้งแต่ยุค 90s ผมว่าผมคงจะได้มาครองสักครั้ง (แม้เปิดให้นักเตะทั่วโลกมีลุ้น แต่ในตอนนั้น ผู้มีสิทธิ์ชิงรางวัลต้องเล่นกับสโมสรในทวีปยุโรป) ผมว่าผมทำผลงานได้ดีกว่า โรนัลโด้ ในปี 1997 สมัยเล่นให้ บาร์เซโลน่า อีกด้วยซ้ำ โรนัลโด้ ได้เปรียบผมตรงที่เล่นกับทีมใหญ่ มีคนเห็นลีลาของเขาทุกสัปดาห์ ทุกคนรักเขาอันนั้นผมไม่เถียง แต่ถามว่าเขาเก่งกว่าผมไหม ผมก็ตอบคำเดิมว่า ไม่มีทางหรอก”
ช่วงที่ฮอต ๆ เอ็ดมุนโด เคยได้ข้อเสนอจากเรอัล มาดริด ด้วยระยะสัญญานาน 8 ปี นั่นคือโอกาสดีที่เขาจะได้ไปเล่นให้คนเยอะ ๆ เห็นแบบที่เขาพูดถึง โรนัลโด้ แต่สุดท้าย เอ็ดมุนโด ก็ไม่ไป … เขาไม่ได้กลัว เขาแค่รับไม่ได้กับการที่ มาดริด จ่ายค่าเหนื่อยให้เขาน้อยกว่าสมัยเล่นในบราซิลอีกด้วยซ้ำ ดังนั้นการอยู่บราซิล เตะไปกินเหล้าไป ปาร์ตี้ไป วินัยไม่จริงจังตามสไตล์ของเขา มันดีต่อใจกว่าต้องไปเล่นในยุโรป ได้เงินน้อยกว่าเดิม แถมยังต้องโดนจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องการซ้อม … ซึ่งเขาบอกว่า “มันไม่ใช่”
การเล่นให้กับ ฟิออเรนตินา ถือเป็นช่วงที่เขาใกล้จะเป็นดาวดังของ เซเรีย อา ยุค 90s ที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกแล้วแท้ ๆ แต่ปัญหาคือเขาเบื่อกับชีวิตที่โดนคนสั่ง และคิดถึงงานคาร์นิวัลเมาสุดเหวี่ยงที่บราซิลเสียก่อน
ในฤดูกาล 1998-99 ฟิออเรนตินา ที่นำโดย เอ็ดมุนโด, กาเบรียล บาติสตูต้า และ รุย คอสตา ทำผลงานได้ดีจนมีลุ้นคั่วแชมป์ลีกที่แฟน ๆ เฝ้ารอ โชคร้ายที่ก่อนเกมสำคัญจะมาถึง บาติสตูตา เกิดเจ็บ และนั่นทำให้ โจวานนี ตราปัตโตนี มองหา เอ็ดมุนโด เพื่อเป็นที่พึ่งสำคัญ … ทว่าเขามองหาช้าไป
เอ็ดมุนโด แอบขึ้นเครื่องบินหนีกลับบราซิล ในขณะที่ทีมมีเกมสำคัญ การกระทำครั้งนี้ของเขาทำให้โดนแฟนบอลตราหน้าว่าเป็นความเห็นแก่ตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรเลยทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้ฟางเส้นสุดท้ายระหว่าง ฟิออเรนตินา กับ เอ็ดมุนโด ขาดลง เขาโดนเลหลังให้กับ วาสโก ดา กามา สโมสรที่เป็นเหมือนบ้านของเขาอีกครั้ง
เอ็ดมุนโด กลับมาเป็นพระเจ้าที่ วาสโก ดา กามา ในปี 1999 อย่างน้อยเขาก็คิดเช่นนั้น … จนกระทั่ง 1 ปีให้หลัง เมื่อพี่ใหญ่กลับบ้านนั่นแหละ เรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มขึ้น
แบดบอยส์
การกลับมาเจอกันของอดีตนักเตะที่เป็นเด็กปั้นที่สโมสรภาคภูมิใจ พวกเขาเติบโตเป็นยอดนักเตะ และเป็นยอด “แบดบอยส์” ซึ่งอย่างหลังนี่เองที่ทำให้เรื่องใน วาสโก ดา กามา มันยุ่งขึ้นมา
โรมาริโอ นั้นเป็นรุ่นพี่ที่จมไม่ลงในระดับหนึ่ง ในปี 1998 ที่ เอ็ดมุนโด กำลังยิงแหลกกับ ฟิออเรนตินา ขณะที่ตัวของ โรมาริโอ เล่นในบ้านเกิดให้ ฟลาเมงโก กราฟชีวิตของ เอ็ดมุนโด กำลังดีจนมีคนพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ และในปีนั้นกำลังจะมีฟุตบอลโลกแข่งขันกันพอดี ตำแหน่งกองหน้าทีมชาติบราซิลเหลือที่ว่างโควตาเดียว … ซึ่งนั่นทำให้ โรมาริโอ ต้องพลาดการไปฟุตบอลโลกครั้งนั้น ขณะที่สื่อในบราซิลสนุกสนานกับการเล่นข่าวนี้ พวกเขาบอกว่า โรมาริโอ ใกล้หมดน้ำยา และไม่ได้ไปบอลโลกเพราะ เอ็ดมุนโด เก่งกว่า ณ เวลานั้น
โรมาริโอ หยิบแกมหยอกดอกแรกทันที เขาเปิดบาร์เล็ก ๆ ริมชายหาดที่ ริโอ ชื่อว่า “กาเฟ โด โกล” ซึ่งเป็นบาร์ธีมฟุตบอลบราซิล ทั้งร้านตกแต่งยอดเยี่ยมเข้ากับสถานการณ์ จนกระทั่งถึงหน้าห้องน้ำชาย โรมาริโอ ให้ช่างวาดรูป เอ็ดมุนโด กำลังทำหน้าเศร้านั่งอยู่บนลูกฟุตบอลที่กำลังรั่ว … เนื้อความประมาณว่า “คิดถึงเธอจัง” เพราะตอนนั้น เอ็ดมุนโด เพิ่งโดนแฟนสาวบอกเลิกจนมีเรื่องฟ้องร้องกัน
ธรรมดาก็ไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว เอ็ดมุนโด จึงไม่ตลกด้วย เขาโทรไปหา โรมาริโอ ทันที หวังใช้ความสัมพันธ์แบบรุ่นพี่รุ่นน้องให้ช่วยลบรูปของเขาที่ห้องน้ำอออก … แต่ โรมาริโอ ไม่เคยยอมใครง่าย ๆ นิสัยเขาเป็นแบบนั้น เขาตอบกลับว่า “กูไม่ลบ”
“ผมโทรไปหาเขาเพื่อขอคำอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขากลับหัวเราะ มองมันเป็นเรื่องตลก ซึ่งผมไม่ขำด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าผมไม่มีทางจะเป็นเพื่อนกับไอ้หมอนี่ได้แน่นอน” เอ็ดมุนโด เผยปมดังกล่าว
เอ็ดมุนโด ก็แสบใช่เล่น หลังโดนแขวะเรื่องแฟน เขาเริ่มใช้สื่อเป็นเครื่องมือโจมตี โรมาริโอ ออกแนวแซว ๆ ว่า ผมก็เก่งกว่าเยอะไงเลยได้ไปฟุตบอลโลก ตามสไตล์คนขี้คุยและชอบคุยทับคนอื่น ๆ เหมือนที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วในข้างต้น
การฟาดฟันของ แบดบอยส์ เข้มข้นเรื่อย เมื่อปี 2000 มาถึง โรมาริโอ กำลังโชว์ฟอร์มดีกับ ฟลาเมงโก จน วาสโก ดา กามา ต้องไปขอซื้อตัวเขามาร่วมทีม เพื่อให้มาลุยศึกสโมสรโลกเป็นรายการแรก แม้จะเป็นทีมที่ปั้นตัวเองมา แต่ โรมาริโอ รู้ว่ามี เอ็ดมุนโด อยู่ที่นั่น ใส่เสื้อหมายเลข 10 และเป็นกัปตันทีมอยู่ เขาเลยรับปากกับท่านประธานของทีมว่า “ย้ายแน่ ๆ หลังหมดสัญญา แต่มีข้อแม้ว่าผมต้องได้เป็นกัปตันทีม”
ศึกชิงลูกรักท่านประธาน
เอ็ดมุนโด นั้นได้เสื้อเบอร์ 10 และปลอกแขน รวมถึงความเชื่อใจจากประธานสโมสรอย่างเต็มเปี่ยม ก่อนที่ โรมาริโอ จะมาถึง พวกเขาอยู่กันแบบใจแลกใจ แม้จะมีข้อเสนอจาก ลาซิโอ ติดต่อซื้อตัวเขา แต่ประธานก็ขอร้องให้ เอ็ดมุนโด อยู่กับทีมต่อ ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าเขาคือลูกรักอันดับ 1 อย่างไม่ต้องสงสัย จนกระทั่งเขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องแต่งตัว
“ผมได้ข้อเสนอจาก ลาซิโอ แต่ท่านประธานขอร้องผม ผมรักเขา แล้วก็เคารพ อันโตนิโอ โลเปส โค้ชของเราด้วย ผมก็เลยตัดสินใจไม่ย้าย” เอ็ดมุนโด ที่เป็นทุกอย่างของที่นี่กล่าว
“จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อผมเข้าไปในห้องแต่งตัว ผมเห็นว่า โรมาริโอ เอาปลอกแขนกัปตันทีมของผมมาใส่ ผมโวยแหลกทันที ผมไปถามเลยว่านี่มันเรื่องห่าเหวอะไร แต่คำตอบที่ผมได้คือ ช่วยไม่ได้จริง ๆ นะ นี่คือการตัดสินใจของท่านประธาน” นั่นคือคำตอบที่ทำให้ เอ็ดมุนโด ต้องเจ็บจี๊ด และทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ โรมาริโอ ก็ย่ำแย่กันมาโดยตลอด
“เราไม่ใส่กันตรง ๆ หรอก มันคือสงครามเย็น เราจะใช้สื่อให้เป็นคนลงมือแทน” เอ็ดมุนโด กล่าวไว้เช่นนั้น
การชิงดีชิงเด่นไม่เคยมีจุดจบสำหรับทั้งคู่ ทั้งการแย่งปลอกแขนกัปตันทีม ไม่ส่งบอลให้กันและเลือกจะยิงประตูเอง หรือแม้กระทั่งการแย่งกันยิงลูกจุดโทษ ซึ่งทุกเรื่องทำให้ไฟในใจของพวกเขาทั้งคู่ถูกสุมขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะฝั่ง เอ็ดมุนโด นั้นเกลียดจริงจังเลยทีเดียว
“ซ้อมยิงจุดโทษไปก็เท่านั้น สุดเท้าเจ้าชายน้อยของพระราชาก็เป็นคนตัดสินใจอยู่ดี … ทุกคนดูมีความสุขกันดีนะทั้งเจ้าชายแล้วก็พวกคนโง่ในสนามของพวกเขา” เอ็ดมุนโด กล่าวถึงจังหวะปัญหาที่ทำให้ภาพการเกลียดกันชัดขึ้น
ที่สุดแล้วถึงแม้ โรมาริโอ และ เอ็ดมุนโด จะเกลียดกันและบลัฟกันแค่ไหน แต่พวกเขาก็ถูกเรียกว่า “แบดบอยส์” คู่หูขวางนรกอยู่ดี อย่าลืม พวกเขาเป็นพวกที่ไม่ยอมใครเมื่ออยู่นอกสนาม แต่ถ้าได้ลงเล่นเมื่อไหร่ พวกเขาคือสุดยอดผู้เล่นเซนส์บอลระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย และการจับคู่กันแบบคนที่ “ทันกัน” ทำให้ผลลัพธ์ในสนามนั้น แตกต่างกับความสัมพันธ์นอกสนามอย่างสิ้นเชิง
นับตั้งแต่ โรมาริโอ ย้ายมาอยู่กับ วาสโก ดา กามา เขามีสถิติยิงทุกรายการ 132 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 135 นัด ขณะที่ เอ็ดมุนโด เป็นผู้เลือกเดินจากไป แต่ทั้งคู่ก็สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกปี 2000 ที่ไฮไลต์คือ การถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หมดสภาพ 3-1 … เอ็ดมุนโด ยิง 1 และ โรมาริโอ ยิงอีก 2 นั่นคือภาพที่คนที่ไม่เคยดูฟุตบอลบราซิลเลย ได้เห็นว่า 2 คู่หูขวางนรกนี้ เก่งกาจขนาดไหน น่าเสียดาย ที่บั้นปลายพวกเขาไม่ได้แชมป์ เพราะไปแพ้จุดโทษ โครินเธียนส์ ในรอบชิงชนะเลิศเสียก่อน
พวกเขาไม่ชอบหน้ากัน จึงอยู่ด้วยกันแค่เพียงช่วงสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ตำนานการผสานงานของ “คู่กองหน้าในฝัน” และ “คู่หูที่เกลียดขี้หน้ากัน” ยังคงถูกเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้
การรวมตัวกันของคนที่มั่นใจในตัวเองถึงขีดสุด แม้จะมีความสามารถมากขนาดไหน มันก็ยากที่จะทำงานในแง่ภาพรวมได้แบบเต็มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญของการทำงานเป็นทีมคือ “ความเป็นมืออาชีพ” ที่ทั้งคู่คงเสียดายในภายหลัง หากพวกเขามีความรับผิดชอบ และมีทัศนคติในการทำงานที่ดีกว่านี้ อย่าว่าแค่ที่กล่าวมาเลย ไม่แน่ พวกเขาอาจจะได้บัลลงดอร์กันเหมือนที่คุยไว้ก็เป็นได้