เรื่องจริงหรือจ้อจี้? ลูกค้าสาวมาขึ้นรถในสภาพนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัว โชเฟอร์ตะลึง ใส่เสื้อผ้าให้ดูสดๆ ตอนจบพีก จนหลายคนฟันธงว่าจัดฉาก
กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ของฮ่องกง หลังจากหญิงสาวห่อร่างกายด้วยผ้าเช็ดตัวเพื่อปกปิดส่วนสำคัญของเธอ จากนั้นจึงเริ่มใส่เสื้อผ้าในรถ เธอยังยกขาใส่กางเกงชั้นในด้วย ทำเอาคนขับได้ร้องอุทานว่า “โอ้ พระเจ้า”
อย่างไรก็ตาม ตอนจบของเหตุการณ์ดังกล่าวหักมุมจนหลายคนคิดว่าเป็นเรื่องที่จัดฉากขึ้น
เว็บไซต์ HK01 รายงานว่า คลิปวิดีโอนี้มีความยาว 5 นาที 52 วินาที แสดงให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่พูดภาษาต่างประเทศขึ้นมาบนรถ Uber ทั้งที่ห่อตัวด้วยผ้าเช็ดตัวเพียงเท่านั้น หลังจากบอกคนขับถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เธอก็คุยโทรศัพท์
ขณะกำลังออกรถ เธอดึงกางเกงชั้นในสีชมพูจากกระเป๋าถือ และพูดคำว่า “ที่รัก” และ “ฉันรักคุณ” กับคนในโทรศัพท์ คาดว่าเธอน่าจะคุยคนรักของเธอ จากนั้นเธอก็ถอดรองเท้าและถุงเท้าออกขณะพูด ซึ่งทำให้คนขับประหลาดใจ
หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ เธอก็ยกเท้าขึ้นทันที เพื่อสวมกางเกงชั้นใน และซุกไว้ในผ้าขนหนู เมื่อเห็นเช่นนี้คนขับได้แต่อุทานซ้ำๆ ว่า “โอ้พระเจ้า คุณกำลังทำอะไร อย่า อย่า อย่า อย่า”
ผู้หญิงคนนี้ขอให้คนขับมีสมาธิกับการขับรถ แต่คนขับพูดอย่างชัดเจนว่า “โอเค แต่คุณทำอย่างนั้น ผมขับรถไม่ได้”
เธอถามคนขับว่าทำไมเขาถึงขับรถไม่ได้ และไม่สนใจเขา เธอหยิบสวมชุดเปิดไหล่ที่คอขึ้นมาใส่ คนขับตะโกน “โอ้” และ “ว้าว” หลายครั้ง เธอจึงก็ถามว่า “มองฉันทำไม” ด้วยความไม่พอใจ
หลังจากมาถึงที่หมาย คนขับก็ถามฝ่ายหญิงว่าเธอมีแฟนกี่คน และผู้หญิงคนนี้รู้สึกว่าคำถามนั้นแปลก คนขับอธิบายว่าเขาอยากเป็นแฟนเธอ และบอกว่าไม่คิดค่าเดินทาง แลกกับการขอเบอร์โทรศัพท์ แต่เธอตอบทันทีว่า “ไม่”
อย่างไรก็ตาม คนขับไม่ยอมแพ้และบอกให้ผู้หญิงคนนี้ติดต่อมาหาเขาในครั้งต่อไปที่เธออยากจะนั่งรถ และเธอก็ตอบกลับว่า “ตกลง”
ทั้งนี้ ดูจากภาษาที่พูดและสำเนียงของทั้งสองคนแล้ว คาดว่าสถานที่ถ่ายทำไม่ใช่ฮ่องกง
ชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นหลังจากดูคลิป บางคนพูดถึงคนขับว่า “คุณเป็นผู้ชายที่โชคดีมาก” แต่ชาวเน็ตจำนวนมากก็วิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่น่าละอายของทั้งคนขับและผู้โดยสาร และมองว่าการแชร์คลิปลงโลกออนไลน์ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตบางคนคิดว่ากระบวนการเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นดูเสแสร้งเกินไป และผู้หญิงคนนี้ก็มองกล้องหลายครั้ง และการที่เธอขึ้นรถด้วยสภาพที่นุ่งเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวดูไม่สมเหตุสมผลจริงๆ หลายคนจึงคิดว่านี่เป็นเพียงการจัดฉากขึ้น