แม่ชาวญี่ปุ่นป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ไปตปท.ครั้งแรกกับสามี เพื่อทำการุณยฆาต

Home » แม่ชาวญี่ปุ่นป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ไปตปท.ครั้งแรกกับสามี เพื่อทำการุณยฆาต
แม่ชาวญี่ปุ่นป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ไปตปท.ครั้งแรกกับสามี เพื่อทำการุณยฆาต

แม่ชาวญี่ปุ่นวัย 44 ปี ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ตัดสินใจไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทำการุณยฆาต ถือเป็นการไปต่างประเทศกับสามีครั้งแรกและครั้งสุดท้าย 

หากคนรอบตัวคุณต้องทนทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย และอยากจะจากไปอย่างมีศักดิ์ศรีด้วยการการุณยฆาต คุณจะสนับสนุนหรือให้อีกฝ่ายรักษาต่อไปจนนาทีสุดท้าย?

สารคดีที่เพิ่งเปิดตัวโดย Fuji TV ได้บันทึกเรื่องราวจริงของการที่ครอบครัวชาวญี่ปุ่น ที่เดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อรับการการุณยฆาต เมื่อผู้เป็นแม่ร้องไห้อย่างขมขื่นจากการป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย

มายูมิ อายุ 44 ปี ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกในเดือนธันวาคม 2563 ที่เลวร้ายกว่านั้นคือเธอป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกชนิด HPV ที่หายาก และเซลล์มะเร็งแพร่กระจายเร็วมาก ไม่ว่าเธอจะลองวิธีการรักษาใหม่ ๆ หรือย้ายไปโรงพยาบาลอื่น ๆ แต่สภาพร่างกายของเธอก็ไม่เคยดีขึ้นเลย

เพียงไม่กี่เดือนหลังจากตรวจพบมะเร็ง เซลล์มะเร็งก็แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากแพร่กระจายไปยังช่องคลอด พวกมันก็แพร่กระจายไปยังตับอ่อนในเดือนพฤศจิกายน 2565 และแพร่กระจายไปยังปอดในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และไปยังหนังศีรษะในเดือนตุลาคมและในกะโหลกศีรษะ เหลือวิธีรักษาน้อยมาก

น่าเสียดายที่เซลล์มะเร็งของมายูมิได้แพร่กระจายไปยังสมองของเธอแล้ว หลังจากที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังสมองของเธอ ในไม่ช้าเธอก็จะตาบอดและมีความพิการทางร่างกาย

เซลล์มะเร็งค่อย ๆ แพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายของมายูมิ นอกจากค่ารักษาพยาบาลที่สูงแล้ว ความเจ็บปวดที่เกิดจากมะเร็งยังทรมานมายูมิอย่างต่อเนื่อง เธอโพสต์บนทวิตเตอร์เล่าถึงความเจ็บปวดจากการถูกทรมานด้วยโรคมะเร็ง และในขณะเดียวกันเธอก็เริ่มมีความคิดเรื่องการการุณยฆาต

“ส่วนที่ยากที่สุดของการรักษาไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็นการขาดความหวัง ถ้าฉันสามารถอยู่รอดได้ ฉันก็ไม่อยากตาย” มายูมิ กล่าว

มายูมิมุ่งมั่นที่จะการการุณยฆาต

ในที่สุดมายูมิก็ตัดสินใจเข้ารับการการุณยฆาตในเดือนพฤศจิกายน 2566 และประกาศการตัดสินใจของเธอให้ครอบครัวของเธอทราบ แต่ลูกสาวสองคนของเธอกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งคู่กำลังเตรียมตัวสอบ แต่เธอไม่รู้ว่าจะบอกลูกสาวอย่างไรว่าต้องการเข้ารับการการุณยฆาต

ขณะที่สามีของมายูมิตกใจมากเมื่อได้ยินข่าวครั้งแรกว่าเธอต้องการเข้ารับการการุณยฆาต แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับในตอนแรก แต่หลังจากปรับตัวได้ระยะหนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ ยอมรับการตัดสินใจของภรรยาของเขา

ซึ่งลูกสาวคนโตเข้าใจการตัดสินใจของแม่ตั้งแต่แรก และกล่าวว่า “ฉันอยากเป็นคนที่เข้มแข็งและเป็นอิสระเหมือนแม่มาโดยตลอด”

อย่างไรก็ตาม ลูกสาวคนเล็กไม่สามารถยอมรับข่าวที่ว่าแม่ของเธอกำลังจะทำการการุณยฆาตได้ เธอจึงถามผ่านไลน์อย่างระมัดระวังว่า “แม่จะทำการุณยฆาตเหรอ?” และ “รออีกหน่อยไม่ได้เหรอ?” แต่มายูมิตอบกลับว่า “หากล่าช้ากว่านี้อาจไม่สามารถไปสวิตเซอร์แลนด์ได้”

มายูมิยังกล่าวขอโทษลูกสาวของเธอระหว่างสนทนาว่า “แม่ขอโทษ แม่ไม่สบาย” ซึ่งลูกสาวคนเล็กก็ตอบว่า “ไม่ใช่ความผิดของแม่” แม้ว่าลูกสาวคนเล็กจะยังไม่ยอมรับการตัดสินใจของแม่ในเวลานี้ แต่ความรักระหว่างแม่และลูกสาวที่มีต่อกัน

การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

ในท้ายที่สุด สมาชิกในครอบครัวทุกคนเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของมายูมิ ซึ่งหมายความว่าถึงเวลาบอกลามายูมิก็มาถึงเช่นกัน มายูมิยังเตรียมอัลบั้มรูปให้ลูกสาวเป็นของขวัญอำลาเก็บไว้เป็นของที่ระลึกอีกด้วย ลูกสาวกล่าวคำอำลาแม่ที่สนามบิน ขณะที่พ่อและแม่จะเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์

แม้ว่าลูกสาวทั้ง 2 คนจะเสียใจ แต่พวกเธอก็ยังเคารพการตัดสินใจของแม่ แต่แม้จะพยายามแค่ไหน กล้องก็จับภาพลูกสาวทั้งสองคนแอบร้องไห้ไว้ได้ แต่หลังจากที่แม่เช็กอินเสร็จแล้ว เมื่อกลับมาอีกครั้งก็ไม่มีน้ำตาบนใบหน้า เพราะพวกเธอก็ไม่อยากทำให้แม่เสียใจ

ในฐานะคู่สามีภรรยาทั้งสองไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ การเดินทางครั้งแรกในต่างประเทศคือการเดินทางครั้งสุดท้ายของมายูมิ ยังมีเวลาอีก 2 วันก่อนที่มายูมิจะ0kdwx และทั้งสองก็เดินจูงมือกันไปตามถนนในสวิตเซอร์แลนด์

ขณะอยู่ในโรงแรม เธอยังเขียนจดหมายเพื่อบอกลาญาติและเพื่อนฝูงของเธอ และเธอยังไม่ลืมฝากการ์ดให้กับสามีของเธอ ซึ่งการ์ดนี้จะมอบให้กับลูกสาวของเธอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คืนก่อนการการุณยฆาต เธอยังบันทึกวิดีโอให้กำลังใจเพื่อปลอบใจลูกสาวของเธอที่อาจผิดหวังในอนาคต

ในวันแห่งการการุณยฆาต สามีของเธอได้วิดีโอคอลกับลูกสาวเพื่อให้ได้คุยกับแม่ มายูมิผู้แข็งแกร่งมาโดยตลอด ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอเคยเป็นอีกต่อไป เธอพูดว่า “มันยากจริง ๆ ที่ไม่สามารถตอบสนองต่อการสนับสนุนจากลูกสาวของฉันได้” ในที่สุดมายูมิก็เปิดสวิตช์เพื่อฉีดยาในมือของเธอ และต้อนรับการหลับใหลชั่วนิรันดร์ของเธออย่างสงบ

ปัจจุบัน ลูกสาวคนโตของมายูมิได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยซึ่งเป้นตัวเลือกอันดับ 1 ของเธอแล้ว และลูกสาวคนเล็กของเธอก็เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นแล้ว แต่คำอวยพรและความอบอุ่นของแม่จะอยู่กับพวกเธอตลอดไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ