แต๊งค์ พงศกร เปิดใจพร้อมสู้หากโดนฟ้อง ลั่นไม่ให้ค่าคนแบบนี้
แต๊งค์ พงศกร มหาเปารยะ เปิดใจถึงเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงสรุปคดีการเสียชีวิตของอดีตคนรัก แตงโม ภัทรธิดา พร้อมทั้งเผยถึงเรื่อง ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้ยื่นฟ้องตนเองในคดีหมิ่นประมาท ว่าตนเองพร้อมสู้
“จริงๆ ปล่อยวางเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เพราะเรารู้ว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย ที่คดีมันออกมาเป็นแบบนี้ มันมีพยานบุคคล แค่คนบนเรือ 5 คน พยานหลักฐานกล้องวงจรปิดมันก็ไม่ชัด เราจะคาดหวังให้มันโปร่งใส ชัดเจน จะหวังให้พนักงานสอบสอนเขาตอบข้อสงสัยทุกข้อให้มันเคลียร์ยาก จากการที่แถลงมันก็มีบางจุดที่เราโอเคพึงพอใจนะ มีการแจ้งข้อกล่าวหา พยายามสร้างความรัดกุมในคดีให้มากที่สุด ว่าการประมาทที่ทำให้ผู้อื่นถึงกับความตาย มันมีโทษอะไรอย่างไรบ้าง
สุดท้ายมันก็ไม่จบหรอก มันต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องไปสู้กันในศาล แล้วก็มาดูกันอีกทีว่ามันเป็นอย่างไร เราก็อยากให้คดีนี้ มันเป็นคดีตัวอย่าง ที่มันจะได้มีการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปการสืบสวน สอบสวนเพื่อให้มีการรัดกุมมากยิ่งขึ้นในอนาคต แล้วมันเป็นประโยชน์ของประชาชนในเรื่องของความปลอดภัย ในเรื่องของการใช้ชีวิต ภายใต้กรอบของกฎหมายที่มันมีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แล้วคดีนี้มีคนผิด มีคนเมาขับเรือ แล้วก็มีการปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่”
มีเรื่องที่เรารู้สึกขัดใจกับการแถลงคดีเมื่อวานไหม?
“ขัดใจเรื่องการตอบคำถามเกี่ยวกับหลักฐาน หลักฐานมันค่อนข้างที่จะคลุมเครือ แล้วบางอย่างเหมือนกับไม่ชัดเจน แต่ก็อย่างที่ผมบอกว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจที่จะทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว เพราะว่าหลักฐานมันมีน้อยจริงๆ ก่อนหน้านี้อาจจะตั้งความหวังไว้สูงว่าตำรวจไทยจะเก่งเหมือนในหนัง เหมือนในซีรีส์ฝรั่งที่จะมีเทคโนโลยีดีๆ มีผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ เข้ามา
ทีนี้ก็เป็นข้อสงสัยของประชาชนว่า ผู้เชี่ยวชาญของคุณตำรวจที่ใช้ในการให้ข้อมูลในการสอบสวนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เชี่ยวชาญจริงหรือเปล่า ทุกอย่างอยู่ในสำนวนสอบสวนทั้งหมด พวกเราประชาชนไม่มีสิทธิ์รับรู้ อนาคตถ้ามีคดีใหญ่ๆ แบบนี้ มันคงมีการปฏิรูป การทำงานของขบวนการยุติธรรม อย่างที่คุณหญิงหมอพรทิพย์บอกว่า เราควรที่จะมีการคานอำนาจของตำรวจในเรื่องการสืบสวนสอบสวนของตำรวจบ้าง เพราะว่าตอนนี้ตำรวจรวบรวมอำนาจไปหมดเลย ใครก็แทรกแซงไม่ได้ ใครแทรกแซงก็โดนขู่ฟ้องอีก”
สำหรับแต๊งค์ หลังจากจบแถลงเรามีคำถามที่อยากจะถามอะไรตำรวจไหม? “ไม่มีเลยครับ”
ทางทนายเดชา ยื่นฟ้องเราวันนี้ได้ทราบเรื่องหรือยัง ?
“เห็นแล้วครับ ได้ยินคำพูดบางส่วน บางตอนของเขาแล้ว ระหว่างขับรถมาทำงาน ก็เปิดฟังอยู่ในรถ มีบางคำที่พูดถึงผม เจาะจงว่าเป็นผมเลย สมเพชแล้วก็มีการพูดถึงคุก ถึงตาราง อยากให้ผมไปนอนคุก เหมือนเป็นการขู่ ผมไม่กลัวหรอก เรื่องของคุก ผมไม่ได้ท้าทายนะ พอจะอ่านเรื่องของคดีความ เคยขึ้นศาลมาก่อน เคยขึ้นศาลมาหลายคดีแล้ว เราผ่านอะไรมาเยอะ ก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้น จะมาขู่ผมแบบเด็กๆ ก็ไม่ได้ ผมก็มีกฎหมายในการคุ้มครองในสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกความคิดเห็นของผมอยู่แล้ว คดีนี้
คุณเข้ามารับทำคดีที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่คนสนใจเยอะ เป็นคดีอาญา มันมีเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คนในสังคมสงสัยว่ามันมีความโปร่งใสอย่างไร โดยส่วนใหญ่ผมให้ข้อมูลกับสื่อ ผมจะตั้งข้อสงสัยเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และในครั้งนี้ล่าสุดผมเห็นว่าคุณหญิงหมอพรทิพย์ออกมาพยายามที่จะแสดงความคิดเห็น อยากให้มีการปฏิรูปการทำงานของตำรวจ
ทนายบางคนเขาก็เอาไปคิดเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วก็เอามากล่าวหาคุณหญิงหมอว่าเป็นหมอดูหมอเดา ผมว่ามันเป็นการไม่ให้เกียรติ แล้วโดยส่วนตัวผมเองก็รู้จักกับคุณหญิงหมอพรทิพย์ ผมก็รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทน ทีนี้ที่ผมพูดไปไม่ได้มีการเอ่ยชื่อของทนายเขาโดยตรง แต่ก็มีการใช้คำว่าทนายจุ๊กกรู้ว สิ่งที่ผมโพสต์ไปทั้งหมดแล้วทำให้เขารู้สึกเสื่อมเสียก็อาจจะร้อนตัวไปเอง เพราะว่าผมไม่ได้มีเจตนาที่จะมีปัญหาระหว่างบุคคลกับเขา ผมวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ผมวิพากษ์วิจารณ์ด้านข้อสงสัย แล้วผมก็รู้สึกว่าการที่คนคนหนึ่งออกมาต่อว่าผู้มีคุณูปการของประเทศมันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ผมก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปสร้างความเสื่อมเสียอะไรให้กับใคร เพียงแต่ว่าผมแค่อยากจะให้มันมีความถูกต้อง แล้วผมก็วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต”
ทางฝั่งนั้นไม่พอใจที่มีการใช้คำว่า ทนายขยะเปียก?
“ถ้าเกิดว่าทนายขยะมันจะไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มันอาจจะเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้ามากกว่า ซึ่งมันจะมีลักษณะเฉพาะแบบของมันคือต้องเป็นการพูดต่อหน้าอยู่ในระยะที่ทำร้ายร่างกายกันได้ เจตนาของการบัญญัติกฎหมายข้อนี้ขึ้นมาคือไม่ต้องการให้คนด่ากันด้วยคำหยาบคาย เช่น อีเปรต อีชั่ว อีนรกต่อหน้าเพราะเขากลัวคนจะชกต่อยกัน แต่อันนี้ผมมีการพูดผ่านสื่อ แต่มันก็จะเป็นความผิดฐานดูหมิ่น ไม่ใช่ดูหมิ่นซึ่งหน้าด้วย
ซึ่งความผิดมันเล็กน้อยแล้วก็ถ้าเกิดผมผิดจริงผมก็ยอมรับ แต่ว่าส่วนอื่นๆ โดยข้อความอื่นๆ แล้วผมเองวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสังคมโดยสุจริตใจ ถ้าเกิดมันมีคำอะไรที่มันรุนแรงแล้วมันไปกระทบกระเทือนเขาก็เป็นเรื่องของเขาก็สามารถแจ้งความได้โดยที่ผมก็ไม่ได้กลัวอะไร แล้วก็ไม่ได้กลัวที่จะต้องไปนอนคุกด้วย ผมว่ากฎหมายเมืองไทยและศาลศักดิ์สิทธิ์ยุติธรรมท่านมีดุลยพินิจมากพอที่จะรู้ว่าตัวเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรเพียงพอที่จะต้องเอาคนที่ไปพูดจากระทบเขาแล้วจะต้องติดคุก เขาไม่ได้มีค่าขนาดนั้น”
การที่ฝั่งนั้นออกมาบอกว่าจะฟ้อง หลายคนมองว่าหิวแสง ส่วนตัวเราคิดเห็นอย่างไร?
“ผมก็ไม่รู้อะไรมันไปเข้าสิงเขา ผมว่าทุกอย่างที่เขาพูดออกมามันเข้าตัวเขาเองหมดเลย ถ้าใครที่ดูไลฟ์ของเขาเราก็จะเห็นได้ว่าเขาก็มีการพูดพาดพิงคนอื่น อาจจะไม่ระบุชื่อ แต่มันก็ระบุไปที่ตัวตนที่บุคคล หมอที่ผ่าศพที่ออกมาพูดในวันนั้นก่อนที่จะมีการแถลงสรุปสำนวนคดีมันก็มีแค่คุณหมอพรทิพย์ แล้วเขาก็ไปพูดยั่วยวนยั่วยุว่าคุณหมอออกมาหิวแสงอีกแล้ว ทีนี้เขาก็ต้องยอมรับได้ว่าถ้าเกิดเขาพูดพาดพิงคนอื่นได้เขาก็ต้องโดนฟ้อง เขาก็ยินดีบอกว่าฟ้องมาสิ คือตัวเขาเองก็ไม่ได้กลัวอะไร ผมก็ไม่ต้องไปกลัวเขา”
เรียกว่าเราก็พร้อมสู้?
“ผมคิดว่าผมมีวุฒิภาวะมากกว่า ผมอาจจะอายุน้อยกว่า ไม่ได้เป็นนักเรียนกฎหมาย ไม่ได้เป็นนักเรียนเนติบัณฑิต ไม่ได้เป็นทนาย แต่ผมคิดว่าผมมีวุฒิภาวะมากพอที่จะไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับคนประเภทนี้ คือตอนนี้ภรรยาผม คนในครอบครัว คนในโซเชียล เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งพิธีกรต่างๆ ที่ผมไปออกรายการก็เป็นกำลังใจให้ ทุกคนพร้อมจะหารช่วยค่าทนายผมมาช่วยทำคดี ทุกคนพร้อมจะเสนอตัวช่วยเป็นทนายให้ ทุกคนอยากจะไปฟาดทนายคนนี้มากเลย แล้วคำพูดอะไรของเขาที่ชอบพูดติดปาก…อบอุ่นในโซเชียลแต่เดียวดายหน้าบัลลังก์ ผมก็จะแสดงให้ดูว่าผมสามารถอบอุ่นได้ทุกที่ แล้วคุณระวังจะเดียวดายทุกที่นะครับ หลังจากนี้ก็เดี๋ยวไปดูก่อนว่าตำรวจจะมีหมายเรียกให้ผมเข้าไปให้คำให้การเมื่อไหร่ แต่ผมก็พร้อมเข้าไปเจอตำรวจนะครับ”