นักแสดงสาว แตงโม นิดา ที่วันนี้ควง คุณแม่ภนิดา มาเปิดใจเป็นครั้งแรก หลังจากไม่ลงรอยกันมานับ 10 ปี ย้อนเล่าชีวิตในวัยเด็ก พ่อ แม่ แยกทาง ย้ายบ้าน เปลี่ยนเบอร์โทรหนีคุณแม่ พร้อมเปิดเผยเส้นทางความรักกับแฟนหนุ่มนอกวงการ ผ่านทางรายการคุยแซ่บ Show ทางช่องวัน 31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
คุณพ่อ คุณแม่แยกทางกันตั้งแต่ 3 ขวบ?
แตงโม : “ใช่ค่ะ ตอนนั้นถามว่ารู้ไหม ก็ยังงงๆ ก็จะพอทราบอยู่ว่าคุณพ่อ คุณแม่มีปากเสียง สักพักก็จะคิดว่าทำไมเหลือแต่คุณพ่อคนเดียว จนโตขึ้นมาหน่อยถึงรู้ว่าคุณพ่อ คุณแม่แยกทางกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณแตงโมและคุณแม่ให้เกียรติรายการคุยแซ่บ Show อยากให้ย้อนไปนิดนึงว่าตอนวัยเด็กเราใช้ชีวิตกันยังไง?
แตงโม : “ตอนที่อยู่กับคุณพ่อ อย่างที่หลายๆ คนเห็น คุณพ่อเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ลองผิด ลองถูกด้วยตัวเอง คุณพ่อพยายามเติมเต็มให้เรา เพราะว่าเราไม่ได้อยู่กับคุณแม่ แต่บางเรื่องที่เป็นเรื่องผู้หญิง เช่น เรื่องของประจำเดือน คุณพ่อก็ยังยกให้เป็นหน้าที่ของคุณแม่อยู่ในเรื่องของการปรึกษาอะไรพวกนี้”
ตอนเด็กเราอยู่กับพ่อจริง แต่เรายังคุยกับคุณแม่ตลอด?
แตงโม : “ใช่ค่ะ เขาจะตกลงกัน เสาร์-อาทิตย์ ไปอยู่กับคุณแม่ ปิดเทอมไปอยู่กับคุณแม่ วันธรรมดาก็จะอยู่กับคุณพ่อ”
แล้วช่วงที่ขาดการติดต่อกับคุณแม่ไป ช่วงวัยไหน?
แตงโม : “น่าจะเป็นช่วงที่เข้าวงการมาแล้วสักพัก ที่ห่างกับคุณแม่เพราะว่าตอนนั้นคุณแม่ก็มีครอบครัวด้วย คุณแม่แต่งงานกับคุณท่านนึง ซึ่งเราเองก็อยากให้เกียรติด้วยที่จะไม่เอ่ยถึงเขา เพราะว่าเขาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
มีอยู่พักนึงที่แม่กับพ่อพยายามคืนดีกัน แต่ว่าไปไม่รอด?
แม่ : “ใช่ค่ะ ตอนนั้นพยายามอยู่นานพอสมควร ก็มีข้อแม้ว่าคุณพ่อต้องเลิกสูบบุหรี่ คุณพ่อทำไม่ได้ เพราะว่าน้องเป็นโรคภูมิแพ้เลย แต่คุณพ่อทำไม่ได้ ให้ทำเพื่อลูกนะ ไม่ได้ทำเพื่อเรา เขาทำไม่ได้แล้วเขาไม่ทำ ก็จบ ชีวิตเขาก็คงอยู่กับบุหรี่”
ตอนนั้นมีโอกาสได้กลับมาคืนดี กลับมาคุยกัน นานไหม?
แม่ : “ไม่ดี ไม่นาน”
แตงโม : “น้องประมาณ 5 ขวบ”
แม่ : “แม่ขี้รำคาญ ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง”
แตงโม : “คุณแม่จะเป็นคนที่เจ้าระเบียบมาก คือเป็นสาวไทยที่หัวโบราณ อยู่กับคุณแม่ คุณแม่จะบอกว่าห้ามเคี้ยวเสียงดัง ห้ามนั่งกระดิกขา เวลาไปที่ไหนห้ามจับบันไดเลื่อน คือถนุถนอมเหมือนลูกสาวฝัน โตมาอยากให้ลูกไปเรียนเปียนโนบ้าง เรียนอะไรที่เป็นผู้หญิง เราก็ไปลองทำทุกอย่างที่คุณแม่อยากให้ทำ แต่ด้วยความที่เราเองไม่ได้ใจรักขนาดนั้น โมเป็นผู้หญิงแมนๆ ก็เลยไม่สำเร็จสักอย่าง”
ได้อะไรมาจากคุณแม่?
แตงโม : “เอาจริงๆ ก็เยอะ เพราะว่าถ้าสังเกตจากนิสัย เจ้าระเบียบได้คุณแม่มา ความรักสวยรักงาม ได้ความโรแมนติก ได้สมองฝั่งศิลปะ จำได้ว่าตอนเด็กๆ เวลาไปอยู่กับคุณแม่ จำได้ว่าตอนนั้นคุณแม่เรียนแฟชั่นดีไซน์ แล้วก็มีแบบชุดหนูก็ระบายสีเล่น เวลาไปอยู่กับคุณแม่ก็แอบเอาลิปสติกคุณแม่มาทา แต่งหน้า เมื่อก่อนคุณแม่เป็นนักแสดงอยู่ค่ายรัชฟิล์ม
เอาจริงๆ ก็ถ่ายทอดมาจากคุณแม่?
แตงโม : “จริง จะได้ตรงนี้มาจากคุณแม่”
แล้วทำไมตอนเด็กๆ ถึงย้ายบ้านหนีแม่?
แตงโม : “คุณแม่มีครอบครัวใหม่ ตัวโมเองก็ทำงานค่อนข้างเยอะมากๆ เพราะฉะนั้นโอเค เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า คือเราคิดเอง เราไปดีกว่า โดยที่ไม่ได้บอกอะไรคุณแม่เลย ตอนนั้นเป็นช่วงที่ตัวโมเองยังเป็นวัยรุ่นที่ยังคิดไม่ได้ รู้สึกว่าคุยกันทีไรไม่ค่อยรู้เรื่อง ทัศนคติไม่ค่อยลงรอยก็เลยหนี”
พอลูกหนี แม่ตามหาไม่เจอ เรารู้สึกยังไงบ้าง?
แม่ : “ก็ต้องตามจนเจอ ตามไปเขาใหญ่ ช่อง 7 ตามคอนโดต่างๆ ที่อยู่ในซอกซอย บางที่ไม่ได้เจอตัว แต่เจอข้าวของ แค่นั้นก็สบายใจว่าเขาอยู่ตรงนี้นะ”
รู้ไหมว่าแม่เขาตาม?
แตงโม : “ตอนแรกไม่ได้รู้อะไร แต่มีอยู่วันนึงถ่ายละครอยู่ เมื่อก่อนการที่ช่องจะเรียกเราเข้าไปแสดงว่าเราต้องทำอะไรผิดมากแน่ๆ เลย เขาเรียกว่าห้องดำ ภัทรธิดา พอดีคุณแม่มาตามหาที่ช่อง เราก็เอาแล้วทำยังไงดี โมก็คิดว่าคุณแม่ไปทำอะไรที่ช่องทำไมไม่มาหาตามกองถ่าย โมเสียวเลยว่าโมทำอะไรผิดหรือเปล่า วันนั้นโมต้องถ่ายละครต่อ เลยโทรศัพท์คุยกัน”
ทำไมแม่ไปตามที่ช่อง?
แม่ : “เราต้องใช้สมองคิด ช่วงนี้หายไป เบอร์โทรศัพท์ไม่มีแล้วจะไปหาลูกที่ไหน คือขอให้มีการติดต่อได้เท่านั้น ก็ไปได้เบอร์จากเจ้าหน้าที่ในนั้น ก็แค่นั้นโทรหาเขาแล้วคุยกัน แล้วคุณพ่อเขาก็โกรธบอกว่าออกมาจากที่นั่นเดียวนี้ มาทำไม ก็บอกเขาว่าฉันมาตามลูก”
ที่บอกว่าตามเจอทุกครั้ง นั่นแปลว่าหนีหลายครั้ง?
แตงโม : “จริงๆ มันก็ไม่ได้มาก ประมาณ 2 ครั้ง”
แม่ : “พ่อพาหนี ไม่ใช่น้องโมหนีเอง”
แม่โกรธไหมตอนที่เขาหนี?
แม่ : “พอตามเจอก็ไม่โกรธนะคะ”
ตอนเด็กที่เราหนีแม่ไปกับพ่อ มีแอบคิดไหมว่าแม่ไม่รักเรา?
แตงโม : “อันนี้เป็นปมตั้งแต่เด็กๆ เลย ด้วยความที่คุณแม่มีพี่ชายมาก่อน แต่คนละคุณพ่อกัน เราจะคิดว่าคุณแม่รักพี่ชายมากกว่า เพราะว่าเขาเป็นลูกคนแรกและเป็นลูกชาย เรามีความรู้สึกว่าทำไมคนสองคนมีลูก แต่ทำไมไม่ยอมดีกันเพื่อลูก เรามีความรู้สึกว่าทำไมผู้ใหญ่สองคนนี้เขาไม่ได้รักเราจริงเหรอ ถ้าเขารักเราจริง เขาต้องทนอยู่กันได้เพื่อลูก อันนี้คือความคิดของตอนที่เป็นเด็ก แต่พอเราโตขึ้นมาพอที่จะรู้ความแล้ว เริ่มมีแฟน ได้ประสบการณ์ความรักของตัวเอง และจากการที่เรามีลูกเอง เราขะเข้าใจแม่มากขึ้นเรื่อยๆ”
แม่รู้ไหม ตอนเด็กๆ เขาคิดแบบนี้?
แตงโม : “รู้ๆ แต่แม่ไม่อยากทำลายครอบครัว คือคุณพ่อรักเขามาก ดูแลทุกอย่างไปรับ ไปส่งกองถ่าย เขาอยู่กับพ่อก็ดีกว่าไปอยู่กับคนอื่น เราก็ปล่อยเขาไป แต่ขอแค่เราตามให้เจอ แค่นั้น”
มันเป็นปมในใจไหมว่าพ่อแม่เรา ไม่เหมือนพ่อแม่บ้านอื่น?
แตงโม : “สมัยที่โมเด็กๆ เขายังใช้คำว่าเด็กมีปัญหาถ้าพ่อกับแม่เลิกกัน ในสมัยนั้นโมฝังใจกับคำนี้มาก แล้วโมก็อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่มาดีกันในตอนเด็กพอโตมาเราได้เป็นแม่เอง เราเคยมีความรัก โมรู้สึกว่าโมโชคดีนะที่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ดีกัน เพราะเรามีความรู้สึกว่าต่อให้ดีกันแล้วมาทะเลาะต่อหน้าเรา โมว่าไม่คุ้ม มันจะเป็นภาพติดตาเราตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นให้แนกกันอยู่ แล้วเจอกันด้วยความคิดถึงดีกว่า”
อายุเท่าไหร่ ตอนที่เราเริ่มคิดได้?
แตงโม : “ตอนนั้นน่าจะประมาณ 16 คือไม่ต้องการให้คุณพ่อ คุณแม่มาดีกันแล้ว มีความรู้สึกแบบนั้น เพราะถ้ามาทะเลาะให้เราเห็น เราจะเป็นคนที่ได้รับพลังลบคนเดียวเลย”
นานขนาดไหนที่พี่โมกับคุณแม่ แยกออกจากกัน ไม่ติดต่อกันเลย?
แตงโม : “เคยเกินปีนะ 3 ปีเคยมี”
แม่ : “ไม่ได้คุย ไม่ได้เจอ คุยแต่โทรศัพท์”
แล้วมันกลับมารักกัน สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่?
แตงโม : “สมัยก่อน เราก็กำหนดไว้ชัดเจนว่าเราอยู่กับพ่อ เจอกับคุณแม่เป็นบางครั้ง มีอยู่ช่วงนึงประมาณ 1-2 ปีที่แล้ว โมไม่สบายมากๆ คือโมเป็นซึมเศร้าหนักมากในช่วงที่คุณพ่อก็เพิ่งเริ่มป่วย แล้วโมมีเรื่องส่วนตัวที่โมเจ็บหนักมาก และเสียใจมาก ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง โมก็เลยไปโรงพยาบาล อยู่ในวอร์ดจิตเวชประมาณ 7 วัน โมรู้สึกว่าอยู่ในนั้นคล้ายๆ อยู่ในคุกดีๆ นี่แหละ ทุกอย่างสื่อสารกันไม่ได้ ห้ามคนไข้คุยกัน แล้วมีความรู้สึกว่าตอนนั้นไม่รู้สึกอะไร อยากโทรหาคุณแม่ อยากบอกคุณแม่ว่าเราไม่สบายนะ เพราะว่าคุณพ่อก็มาเยี่ยมทุกวันอยู่แล้ว แต่ว่าแม่ยังไม่รู้เลยว่าลูกตัวเองเป็นอะไร เพราะฉะนั้นขอคุณพี่พยาบาลว่าขอโทรหาคุณแม่หน่อย โมจะบอกไว้เลยว่าใครบ้างที่โมจะให้เข้าเยี่ยม แล้วใครบ้างที่โมจะรับสายหรือโทรออก โมก็โทรหาคุณแม่ บอกคุณแม่ว่าน้องไม่สบาย”
แม่ : “แม่ไม่คิดว่าเขาจะป่วยหนักขนาดนี้ที่จะต้องพบหมอจิตเวช พอไปก็เห็นห้อง เห็นบรรยากาศ ตกใจนี่ลูกเราเป็นถึงขนาดนี้เลยเหรอ ก็เข้าไปกอดเขา คุยกันยาวมากตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน”
แตงโม : “เราคุยกัน แล้วคุณแม่ก็เล่าบางเรื่องที่เราไม่เคยรู้ในสมัยเด็ก แล้วเรารู้สึกว่าแม่รักเรานะไม่ใช่ไม่รัก แล้วก็เป็นห่วงเรามากๆ โมรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นในความป่วยของเรา ในวิกฤตของเรา โมรู้สึกว่าพระเจ้าต้องทดสอบอะไรเราอยู่ ให้บททดสอบที่ค่อนข้างจะหนักมากๆ แต่โมรู้สึกว่าจุดประสงค์ของพระเจ้าต้องการให้เราได้อะไรจากตรงนั้น โมเลยรู้สึกว่าจากเหตุการณ์แย่ๆ ในวันนั้น โมได้แม่คืนมาทั้งคน โมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่คุ้มมาก”
แสดงว่าวันนั้นคือวันปลดล็อกเราเลย?
แตงโม : “ใช่ค่ะ”
ที่หายมาได้ส่วนนึงเป็นเพราะแม่?
แตงโม : “ส่วนนึงก็เพราะแม่ด้วย”
แสดงว่าชีวิตเราเพิ่งจะเปลี่ยนได้ 2-3 ปีนี้เอง?
แตงโม : “ใช่ค่ะ เพิ่งกลับมาสนิทกับคุณแม่ เมื่อก่อนเหมือนสนิทกันในความรู้สึกแม่ ลูก รู้ความเป็นมา เป็นไปของกันและกันแบบห่างๆ แต่ไม่ลึกมากเท่ากับ 2-3 ปีที่ผ่านมาคือในช่วงปลดล็อกที่โมอยู่โรงพยาบาล และอีกครั้งเป็นช่วงที่คุณแม่มาหาตอนที่คุณพ่อไม่สบาย คุณแม่มาอยู่กับคุณพ่อแทบทุกวัน แล้วโมมีความรู้สึกว่านี่แหละภาพที่โมอยากเห็น แล้วสุดท้ายคนที่เคยรักกัน เขาเป็นห่วงเป็นใยกัน แล้วโมรู้สึกว่ามันมีวาระของมันที่จะเกิดในสิ่งที่เราอยากให้เกิด”
ทำไมตอนนั้นคุณแม่ตัดสินใจมาดูแลคุณพ่อ?
แม่ : “จริงๆ ตอนนั้นคุณแม่ก็ไม่ค่อยสบายอยู่แล้ว เป็นไทรอยด์ คุณพ่อเนี่ยเป็นคนที่ไม่ฟังใคร ดื้อ กูใหญ่คนเดียว กูเก่งคนเดียว นี่ไม่ได้ว่านะ มันก็จะเป็นบทเรียนให้ท่านผู้ชมที่ดูอยู่ได้เข้าใจด้วยว่าสิ่งที่คุณพ่อทำมันผิด มันไม่ใช่แค่ผู้หญิง ผู้ชาย นอกใจกัน ผู้หญิงผิด ผู้ชายผิด มันไม่ใช่ แต่ของคุณพ่อมันเป็นเรื่องอารมณ์ เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด อารมณ์ร้อน”
ตอนคุณพ่อไม่สบาย คุณแม่ได้นั่งเคลียร์หรือว่าบอกอะไรให้คุณพ่อรับรู้ไหม?
แม่ : “คุณพ่อไม่สบายประมาณ 2 เดือน อยู่ในสภาพโคม่า เราก็ดูแล จ้างพยาบาล แล้วคุณแม่เนี่ยความรู้สึกบอกตรงๆ เราหย่ากันมา 30 ปี แต่ทำไมต้องไปดูแลเขา เราเป็นห่วง เขาไม่มีใคร เขาไม่ได้แต่งงานใหม่ เราก็ไปดูแล ไปนั่งคุย ตอนนั้นยังพอคุยได้อยู่ เขาก็ขอคุณแม่จับมือ เราก็ให้จับ ก็นั่งจับมืออยู่อย่างนั้นจนเขาหลับไป”
แตงโม : “เป็นภาพที่โมรอคอยมาทั้งชีวิต”
แม่ : “สรุปแล้วเขาเป็นมะเร็งที่ปอด เรื่องจากสูบบุหรี่ แล้วเขาก็หลับๆ ตื่นๆ เราก็ต้องนั่งเฝ้า”
แตงโม : “คุณพ่อจะขอจับมือแม่ เหมือนเขาอยากได้กำลังใจ”
แม่ : “เหมือนเขาคิดว่าเราทิ้งเขาไป คุณแม่ก็ให้ทุกอย่างในสิ่งที่ควรจะให้ ก็บอกเขา พ่อเรามาเจอกันตอนแก่นี่นะ ตอนดีๆ เราก็ไม่ได้พูดกันดีๆ ก็ขออโหสิกรรมต่อกัน ขอให้คุณพ่อไปดี แล้วคุณแม่ก็จะดูแลน้องโมอย่างดี คุณพ่อนับถือคริสต์”
ถ้าพ่อเห็นช็อตนี้ที่โมมาออกรายการกับคุณแม่ คิดว่าคุณพ่อรู้สึกยังไง?
แตงโม : “พ่อยิ้มอยู่ข้างบนแน่ๆ เพราะว่าไม่ว่าว่าจะไปอยู่กับใครก็ตาม สุดท้ายก็ไม่น่าไว้ใจเท่าแม่เราเอง รู้สึกว่าหมดพ่อไปแล้ว ก็มีคุณแม่กับคุณลูกที่ต้องอยู่กันสองคนใช้ชีวิตต่อไปให้ได้อย่างมีความสุข”
มีอะไรอยากจะบอกคุณแม่คนนี้ไหม?
แตงโม : “สำหรับน้องแล้ว เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด น้องจำไม่ได้แล้ว น้องลืมทุกๆ ความรู้สึกไม่ดี น้องเคลียร์ทุกความรู้สึกไม่ดีออกจากใจหมดแล้ว ตอนนี้น้องคิดได้แล้วจากการจากที่น้องมีลูกเอง ถึงแม้ไม่ได้อุ้มท้องมา แต่น้องรู้ว่าการเลี้ยงลูกอ่อนมันต้องทะนุถนอมมากๆ แล้วสิ่งที่ขาดไม่คือเราเป็นสายเลือดเดียวกัน เหมือนที่คุณแม่มีน้องขึ้นมาตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่พร้อม แต่คุณแม่ก็อยากมีน้อง และให้น้องมาถึงทุกวันนี้ ขอบคุณมากๆ ที่แม่ไม่เคยไปไหน น้องหันไปก็เจอคุณแม่ทุกครั้ง ขอให้คุณแม่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง”
แม่ : “น้องโมเขาเข้มแข็งขึ้นเยอะ แล้วดูแลตัวเองได้ มันเป็นเรื่องตลกเพราะว่าน้องโมในวงการซ่า แล้วเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงเต็มตัว เธอแก่นแก้ว แต่วันนี้น้องโมเหมือนแมวที่ได้รู้สึกตัวว่าต่อไปนี้ต้องทำตัวอย่างไรกับคุณแม่ กับเพื่อนๆ อยากให้เขาเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อยากให้อ่อนโยนมากกว่านี้ พูดกับคุณแม่เพราะๆ”
ในที่สุดลูกสาวแม่ก็เรียนจบแล้ว หลังจากที่พยายามมากี่ปี?
แตงโม : “ใบล่าสุดเป็นหลักสูตรที่เรียน 2 ปีครึ่ง แต่ว่าไม่นับตอนที่เป็นเด็กๆ นะ ถ้าเรียนตามเกณฑ์โมลองแล้ว ที่ม.รังสิต และอีกหนึ่งครั้งที่ ธุรกิจบัณฑิต ไม่รอดสักที่”
ทำไมถึงไม่รอดที่ ม.รังสิต?
แตงโม : “งานเยอะ ทั้งละครทั้งอย่างอื่น ไม่มีเวลาทำการบ้าน ส่งงานอะไรเลย เลยดร็อปไปเลย แล้วต้องยอมรับตัวเองว่าสมาธิไม่ได้เก่งเหมือนคนอื่น ที่จะทำสองอย่างควบคู่กันไปได้ โมจะเป็นประเภทที่ถ้าทำแล้วต้องได้ดีไปเลย ช่วงที่เรียนก็คือเรียนแล้วไม่ได้รับงานมาก เพราะเราจะบอกแล้วว่าการเงินที่บ้านเริ่มไม่ค่อยดีแล้วนะเราก็กลับไปทำงาน เริ่มไม่ได้เรียน ตอนนั้นงานเริ่มเพลาๆ ลง แล้วด้วยความรักเรียน เป็นการลงทุนกับตัวเอง ก็เลยไปเรียนผู้ช่วยพยาบาล กะว่าถ้าวันนึงคุณพ่อป่วยหรือชราเราก็จะได้ใช้ หรือว่าถ้าเรามีลูกเราก็ได้ใช้ แต่รู้สึกว่ามันยังไม่พอ แล้วเมื่อ 2 ปีที่แล้วได้เข้าไปเรียนที่รังสิต ใช้เวลา 2 ปีครึ่งก็จบ ถ้าไม่มีโควิดก็จะรับเดือนนี้”
ตั้งแต่รังสิตที่เรียนปีแรก จนถึงปีนี้ ใช้เวลาทั้งหมดกี่ปี?
แตงโม : “20 ปี”
แต่สิ่งที่โมอยากมอบให้คุณพ่อมากที่สุดคือใบปริญญา เสียดายไหมท่านไม่ได้อยู่เห็น?
แตงโม : “มีความเสียดายอยู่นิดหน่อย คุณพ่อจะขออยู่แค่ 3 อย่าง คือ การศึกษา ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน แล้วยาเสพติด เหลือแต่ใบปริญญา ส่วนนึงก็เสียดายที่เราไมามีรูปคู่กัน โมมองว่ามันเป็นเรื่องดีที่คุณพ่อเสียก่อนโควิดระบาด ไม่งั้นเราจะไม่มีเวลาสั่งเสียกัน บอกลากัน เพราะฉะนั้นโมโอเค ให้คุณพ่อมองลงมา โมรับปริญญาแล้วนะ ถ่ายรูปกับคุณแม่ ถ่ายรูปกับคนสนิท โอเคจบ”
เรื่องความรัก เขาชื่ออะไร?
แตงโม : “ชื่อเบิร์ด จริงๆ เราเจอกันเมื่อ 9-10 ปีที่แล้ว ก่อนที่โมจะแต่งงาน เราเจอแล้วปิ้งกัน โดยมีคนกลางเป็นสาวสองจัดการแลกไลน์ให้เรา เจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ทักทายนิดๆ หน่อยๆ ตอนนั้นโมเองก็งานเยอะมาก แล้วก็ใช้ชีวิต เรายังไม่ได้คิดว่าเราจะซีเรียสขนาดนั้น ช่วงนั้นต่างคนต่างแยกไปใช้ชีวิตกัน พอเมื่อโมโสดครั้งล่าสุดก่อนที่จะคบกับคุณเบิร์ด อยู่ดีๆ ก็มีไลน์ คือโมต้องบอกก่อนว่าไลน์ของโมไม่มีใครแอดได้ เพราะว่าโมตั้งเป็นไพรเวท”
“นอกจากโมจะเป็นคนทักไปเอง ทีนี้ทีไลน์อันนึงเด้งขึ้นมา กราบสวัสดี โมก็ถามว่าใคร เขาก็บอกว่าเบิร์ด จำได้ไหม โมก็บอกจำได้ เพื่อนโมไม่มีใครชื่อเบิร์ดเลย ก็ถามสารทุกข์สุขดิบ ถามไปถามมา เราก็รู้แหละว่าเขาประทับใจเราอยู่ แต่โมก็ถามกลับไปว่าคุยอยู่กี่คน นางตอบว่า 3-4 คน เราก็คิดว่าเราไม่กับคนนี้แน่ ในขณะที่เราตอนนั้นก็ค่อนข้างแย่ในเรื่องของพ่อด้วย สักพักเขาก็มาบอกเราว่าตอนนี้คุยกับเธอคนเดียวแล้วนะ ก็เริ่มที่จะเปิดใจดู ก็เริ่มจากการส่งน้ำเต้าหู้ เพราะรู้ว่าเราไม่สบาย ส่งน้ำเต้าหู้มาแขวนไว้หน้าบ้านแล้วก็ไป บางวันก็มาแบบเปียกฝน ใส่ชุดคลุมฝนเอาน้ำเต้าหู้มาให้แล้วก็ไป แล้วเรารู้สึกว่าเขามาแบบไม่หวังอะไร แต่ผู้ชายก็ทำอย่างนี้กับทุกคน เราก็ดูต่อว่าจะทำยังไง สักพักก็เริ่มเข้ามาในบ้าน เริ่มมาเจอกับเพื่อนเรา เขาก็โอเคอยู่ได้ สักพักเริ่มจับมือเราใต้โต๊ะแล้วก็บอกว่าเป็นแฟนกันนะ”
กี่เดือนแล้ว?
แตงโม : “ปีที่แล้ว”
ได้เปิดตัวให้คุณแม่เจอหรือยัง?
แตงโม : “เจอแล้ว”
แม่ : “คือมันมีเรื่องตลกอยู่ มันมีผู้ชายอยู่ 2 คนที่มาดูแลน้องโมช่วงที่เขาแย่มากๆ ทั้งหมด 20 คน ผู้ชาย 2 คนนี้มีหนวดทั้งคู่ แล้วผมก็กระเซิงทั้งคู่ คุณแม่ก็ดูเขาทุกวัน ว่าเขาเป็นยังไงไปๆ มาๆ มันหายไปทีละคน”
แม่ชอบหนวดนี้ไหม?
แม่ : “หนวดนั้นคุณแม่ให้เงินไปเบิร์ดเดย์หนึ่งพัน คุณแม่ไม่ทราบว่าหนวดนั้นหรือหนวดไหน ปรากฎว่าเป็นคนละคน”
แตงโม : “ช่วงนั้นคือโมแย่มากๆ อยู่คนเดียวไม่ได้ จะฆ่าตัวตายตลอดเลย”
คนนี้ในสายตาคุณแม่คิดว่าผ่านไหม ชอบไหม?
แม่ : “ถ้าถามว่าชอบไหม ชอบนิสัย เรียบร้อย สุภาพ แต่ถ้าพูดถึงยาวๆ แล้วถ้าเป็นคู่ชีวิตของน้องโมขอดูไปก่อน”
แตงโม : “มีคุณลักษณะคล้ายคุณพ่อมากที่สุดเท่าที่เคยคบมา รู้สึกว่าอยู่กับคนนี้แล้วเราปลอดภัย ผู้หญิงจะไม่ต้องการอะไรมากมายนอกจากความปลอดภัย ดูแลเราได้”
ติดตามชมรายการคุยแซ่บ Show ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama