กลับมาพบกับรีวิว Gadget จากทาง Sanook Hitech อีกครั้งในรอบนี้ทีมได้รับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง ASUS อย่าง vivobook Pro 15 OLED ที่มีจุดเด่นคือหน้าจอ OLED สีคมชัดแบบนี้ มันจะดีแค่ไหน และราคาเป็นอย่างไร มาดูกันเลย
แกะกล่อง ASUS Vivobook Pro OLED ประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง ASUS vivobook Pro 15 OLED
- คู่มือการใช้งาน
- AC Adapter
รูปลักษณ์ดีไซน์ของ ASUS Vivobook Pro OLED
ด้านบนสุดเป็นพลาสติกมีการออกแบบและทำลวดลายสวยงามตรงฝั่งซ้ายมือที่เป็นที่อยู่ของโลโก้ ASUS vivobook ทำให้รู้ว่านี่แหล่ะคือรุ่น Pro เพราะถ้าเป็นรุ่นปกติจะปล่อยเรียบไม่มีอะไร
ใต้เครื่องมีช่องระบายความร้อนกับลำโพงที่จัดว่ามีขนาดใหญ่อยู่ทำให้เสียงที่ออกมาเมื่อวางกับพื้นแล้วพบว่าเสียงออกมาดังกำลังดี
รอบตัวเครื่องก็ยังคงเน้นวัสดุพลาสติกที่มีคุณภาพสูงอยู่ประกอบไปด้วยช่องเสียบต่างๆ ได้แก่
- ฝั่งซ้าย
- USB-A ทั้งหมด 2 ช่องมาตรฐาน 2.0
- ฝั่งขวา
- AC-IN Adapter
- USB-A 1 ช่องมาตรฐาน2
- HDMI
- USB-C 1 ช่องมาตรฐาน 2
- MicroSD Reader
- ช่องเสียบหูฟังแบบ Combo Port
ส่วนด้านหลังออกแบบให้สามารถยกกางได้แต่ทำได้ที่ 170 องศาเท่านั้น พร้อมกับร่องระบายอากาศ
ส่วนด้านหน้าสามารถยกได้ด้วยนิ้วเดียว และออกแบบเรียบแต่ก็สามารถยกได้เพราะมีร่องตัว V ทำให้สามารถเอานิ้วสอดและยกหน้าจอได้ทันที
เมื่อเปิดหน้าจอออกมา จะเห็นหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว และเป็นแบบจอใส่เพราะรุ่นนี้ใช้จอแบบ OLED นั่นเอง แต่ไม่รองรับ Touch Screen นะครับ
ส่วนแผง Keyboard เป็นแบบ Full Size เพราะมี Number Pad มาให้ทางข้างขวาและปุ่ม Enter ประดับด้วยสีขาวสลับกับสีดำ สามารถเรืองได้ด้วย
ความรู้สึกในการพิมพ์พบว่าสามารถตอบสนองการกดได้ได้ดีเหมือนกับ vivobook รุ่นก่อนหน้าที่ผ่านมาทำให้รู้สึกวสามารถตอบสนองและใช้งานได้ลงตัวมาก เพียงแต่ว่ามันไม่ได้กันน้ำฉะนั้นต้องระวังให้ดี
ภาพรวมการออกแบบของเครื่อง / น้ำหนัก
ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ในแบบ Notebook Main Stream ที่ให้ความบางกำลังดีไม่หนักมากเพราะน้ำหนัก 1.65 กิโลกรัมกับบอดี้ขนาด 15.6 นิ้วผมว่าหายากแล้วสำหรับคอมพิวเตอร์ในรูปแบบนี้ครับ แต่สิ่งที่ติดหน่อยก็เห็นจะเป็นฟีเจตอร์บางอย่างนั้นไม่ได้ให้เช่นระบบสแกนลายนิ้วมือเป็นต้น
เปิดเครื่องลองใช้งาน ASUS Vivobook Pro OLED
รายละเอียดสเปกของ ASUS Vivobook Pro OLED (S3500PH-L1501TS)
- หน้าจอแสดงผลขนาด 14 นิ้ว OLED ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล อัตราส่วน 16:9 พร้อมกับความสว่าง 400 nits ให้ค่าสี 100% DCI-P3 color gamut, PANTONE Validated, Glossy display, Screen-to-body ratio: 84 % ค่าสี 1 ล้านสี
- ขนาด : 35.98 x 23.53 x 1.89 ~ 1.99 เซนติเมตร
- หนัก : 1.65 กิโลกรัม
- ชิปเซ็ตประมวลผล : Intel® Core™ i5-11300H Processor 3.1 GHz (8M Cache, ความเร็ว 4.4 GHz, 4 cores)
- ชิปประมวลผลกราฟิก : Intel® Iris Xe Graphics, NVIDIA® GeForce® GTX 1650 Max Q, 4GB GDDR6
- RAM : แบบ DDR4 8GB OnBoard สามารถอัปเกรดได้อีก 16GB
- ความจุ : SSD 512GB
- กล้องหน้า : HD Camera พร้อมกับปุ่ม ปิด / ปิดกล้อง
- ตัวเชื่อมต่อ (Port)
- 1x USB 3.2 Gen 1 Type-A
- 2x USB 2.0 Type-A
- 1x Thunderbolt™ 4 supports display / power delivery
- 1x HDMI 1.4
- 1x 3.5mm Combo Audio Jack
- 1x DC-in
- Micro SD card reader
- เชื่อมต่อ Intel Wi-Fi AX 201 รองรับมาตรฐาน WiFi 11 AX (Wi-Fi 6), Bluetooth V5.1
- ลำโพง : 2 ด้านล่าง พร้อมกับปรับจูนโดย Harman / Kardon
- ไมโครโฟน : 2 ตัว + AI Noise Cancellation
- ระบบปฏิบัติการ : Windows 10 64 Bit รองรับการอัปเกรดสู่ Windows 11
- แบตเตอรี่ขนาด 63 Wh ที่ชาร์จแบบ 120W Power Adapter แบบ AC-IN รองรับ Power Delivery
- สีเครื่อง ขาว Quiet Blue , ดำ Cool Silver
ผลการทดสอบประสิทธิภาพ / การใช้งานจริง
ภาพรวมที่เห็นถือว่าเป็นอีกเครื่องที่ทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพสูงแม้ว่าจะให้ RAM มาที่ 8GB เนื่องจากเครื่องได้รับมานั้นคือสเปกเริ่มต้นแต่เท่าที่ทดลองใช้งานที่หลากหลายก็พบว่าสามารถตอบสนอการทำงานได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าอยากให้ทำงานกราฟิกได้คล่องตัวมากขึ้น แนะนำ อัปเกรด RAM สักหน่อยก็น่าจะดีครับ
การเชื่อมต่อของคอมพิวเตอร์รุ่นนี้รองรับ Wi-Fi 802.11 AX หรือ Wi-Fi 6 ด้วย ทำให้การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ไม่ได้เป็น 2 รองใคร
การแสดงผลหน้าจอ / ระบบเสียง
การแสดงผลหน้าจอ OLED ที่ให้สีสันตคมและหน้าจอเป็นแบบกระจกใสเงาวับทำให้การแสดงผลสีสันของภาพสวยงามและแน่นอนว่าเมื่อต้องนำมาใช้ทำงานกราฟิกหรือตัดแต่งภาพ มันเป็นอีกจอที่ผมพูดเลยว่า มันสวยคมมากและมไต้องปรับอะไรเพิ่มเลย แต่แค่แสงมันเยอะ ทั้งนี้เราสามารถปรับลดลงมาได้ แถมยังมีฟีเจอร์ Tru2Life และ EyeCare มาให้เลือก
ส่วนระบบเสียงจาก Harman / Kardon เนื่องจากลำโพงของมันที่ติดตั้งด้านล่างตัวใหญ่เอาเรื่องเหมือนกันทำให้เสียงที่ออกมานั้นค่อนข้างสมบูรณ์โดยเฉพาะการเล่นเกมและการฟังเพลงเป็นต้น
ระบบปฏิบัติการ / ฟีเจอร์ที่โดดเด่น / ระบบความปลอดภัย
ASUS Vivobook Pro OLED ให้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 มาจากในกล่องและได้ไปต่อกับ Windows 11 อย่างแน่นอน แต่ต้องรอสักหน่อยนะ
ฟีเจอร์โดยหลักๆ แล้วจะเน้นเรื่องของการตรวจสอบในเรื่องความผิดปกติของ Hardware ของ MyASUS โดยมีการทำงานดังนี้
- การตรวจสอบปัญหาเบื้องต้นของเครื่อง รวมถึงการขึ้น Blue Screen
- อัปเดต Software ภายในเครื่อง
- AppDeal สำหรับคนที่อยากได้ของถูกและเสียตังค์น้อย ASUS ก็จัดมาให้
- ปรับแต่งการแสดงผลหน้าจอ / ระบบ Wi-Fi / ระบบการตั้งค่าความปลอดภัยต่างๆ โดยเฉพาะการเข้า Wi-Fi ให้ปลอดภัยนั่นเอง
- โปรแกรมจัดการแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนาน หรือต้องการถนอมแบตเตอรี่
- Link to MyASUS เชื่อมต่อกับมือถือได้แบบไร้รอยต่อไม่ว่าจะเป็นการแชร์หน้าจอ, File, แชร์หน้าจอ เป็นต้น
แต่ว่าระบบความปลอดภัยของเครื่องรุ่นนี้มีเพียงแค่ชิปรองรับ TPM 2.0 แต่ไม่ได้มีระบบสแกนนิ้วและสแกนใบหน้ามาให้ครับ
แบตเตอรี่ / ระบบการชาร์จไฟ
ด้วยขนาดแบตเตอรี่ขนาด 63Wh ถือว่าไม่ได้เล็กหรือใหญ่เกินไปสำหรับคอมพิวเตอร์ขนาด 15.6 นิ้วเครื่องนี้แต่ใช้งานจะอยู่เฉลี่ยที่ 6 – 7 ชั่วโมงเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการปรับโหมดการใช้งาน ทั้งนี้จากการที่ลองในโหมดประหยัดไฟสุดทำได้ 13 ชั่วโมง
ส่วนระบบการชาร์จไฟยังคงเป็นการชาร์จไฟผ่าน AC Adapter กำลัง 120W แม้ว่าจะชาร์จไฟเร็ว แต่ขนาดของมันก็ค่อนข้างใหญ่ ส่วนเทคโนโลยี Power Delivery สามารถใช้งานได้แต่ว่ามันจะขึ้น Slow Charger ต่อให้ใช้กำลังสูงแล้วครับ
สรุปหลังจากทีม Sanook Hitech ลองใช้งาน ASUS Vivobook Pro OLED มาสักระยะเวลาหนึ่ง
ถือว่าเป็นอีกก้าวของ ASUS ที่เผยโฉมคอมพิวเตอร์ที่ไม่จำเป็นต้องมีขนาดเล็กและเบาแต่หน้าจอสวยคมชัดแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ ASUS จัดมาเลยครับ แต่อาจจะไม่ถูกใจบางเรื่องเช่นไม่รองรับการชาร์จไฟผ่าน USB-C ทั้งนี้คอมพิวเตอร์รุ่นนี้ก็พร้อมวางจำหน่ายคู่กับ Zenbook Pro ที่ออกมาก่อนหน้านี้โดยมีราคา
- S3500PA-L1501TS / S3500PA-L1503TS: 15.6” FHD (1920 x 1080) 16:9 / OLED / Intel® Core™ i5–11300H / 8GB DDR4 on board / 512GB M.2 NVMe™ PCIe® 3.0 SSD / Intel Iris Xᵉ Graphics (available for 11th Gen Intel® Core™ i5/i7 with dual channel memory) / Windows10 Home / Office Home and Student 2019 included / Backpack ราคา 28,990 บาท
- S3500PA-L1702TS: 15.6” FHD (1920 x 1080) 16:9 / OLED / Intel® Core™ i7–11370H / 16GB DDR4 on board / 512GB M.2 NVMe™ PCIe® 3.0 SSD / Intel Iris Xᵉ Graphics (available for 11th Gen Intel® Core™ i5/i7 with dual channel memory) / Windows10 Home / Office Home and Student 2019 included / Backpack ราคา 34,990 บาท
- S3500PH-L1501TS: 15.6” FHD (1920 x 1080) 16:9 / OLED / Intel® Core™ i5–11300H / 8GB DDR4 on board / 512GB M.2 NVMe™ PCIe® 3.0 SSD / NVIDIA® GeForce® GTX 1650 Max Q / Windows10 Home / Office Home and Student 2019 included / Backpack ราคา 32,990 บาท
- S3500PC-L1701TS: 15.6” FHD (1920 x 1080) 16:9 / OLED / Intel® Core™ i7–11370H / 16GB DDR4 on board / 512GB M.2 NVMe™ PCIe® 3.0 SSD / NVIDIA® GeForce® RTX 3050 / Windows10 Home / Office Home and Student 2019 included / Backpack ราคา 39,990 บาท
สำหรับการวางจำหน่านคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ สามารถไปหาซื้อได้ตั้งแต่
จุดเด่น
- ตัวเครื่องน้ำหนักเบาและ Port เชื่อมต่อมีให้ครบ
- หน้าจอสวยมาก และเสียงก็ดี
- สเปกถือว่าใช้ทำงานได้ดี และอัปเกรดได้
- ที่ชาร์จให้กำลังสูงชาร์จได้เร็ว
- แบตเตอรี่อึดและปรับรูปแบบการทำงานได้
ข้อสังเกต
- ไม่มีระบบความปลอดภัยอะไรให้เลย
- ไม่รองรับชาร์จไฟผ่าน USB-C