ในโลกยุคปัจจุบัน นักเตะเกมรุกกลายเป็นพระเอกของงานในทุก ๆ เรื่อง มีน้อยคนที่ทำหน้าที่ในเกมรับ และจะสามารถโดดเด่นขึ้นมาอยู่ในระดับแถวหน้าได้
1 ในนั้นคือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศส ของ เชลซี ที่ ณ เวลานี้หากวัดกันแบบตำแหน่งต่อตำแหน่งแล้ว ในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับเขาคือนักเตะหมายเลข 1
เขาคือคนที่หลายคนบอกว่าเก่งที่สุดในโลก และเป็นนักเตะที่ทุก ๆ ทีมจำเป็นต้องมีไว้ในทีม อะไรที่กลั่นให้เขากลายเป็นทั้งสุดยอดนักเตะและไนซ์กายในหมู่ผองเพื่อน … ติดตามได้ที่นี่
มี … ในสิ่งที่ต้องมี
เอ็นโกโล่ ก็องเต้ คือเด็กชายที่เกิดจากครอบครัวผู้อพยพชาวมาลี ที่ย้ายเข้ามาอาศัยในฝรั่งเศส พ่อและแม่ของเขาทำงานรับจ้างทั่วไปอยู่ในกรุงปารีส โชคร้ายกว่านั้นคือหลังฉลองวันเกิดปีที่ 11 ได้ไม่นาน พ่อก็เสียชีวิตลง
จากเด็กน้อยกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในบัดดล เมื่อสถานการณ์บังคับ ก็องเต้ รู้ดีว่าชีวิตต่อจากนี้จะต้องทำงานหนักให้มากเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว และเริ่มมีโอกาสได้เตะฟุตบอลกับทีมเยาวชนในท้องถิ่นอย่าง KS Suresnes ก่อนที่ ปิแอร์ วิลล์ โค้ชที่ทำงานอยู่กับทีมเล็ก ๆ ในลีกรองอย่าง บูโลญน์ เห็นแววในการเล่นที่เขาเรียกว่า Selfless style of play หรือนักเตะที่เล็งเห็นผลประโยชน์ของทีมมาก่อนเสมอ
Photo : lifebogger.com
สไตล์การเล่นในสนามเป็นแบบไหน ตัวตนของเขาก็เป็นแบบนั้น ก็องเต้ เป็นหนุ่มตัวเล็ก พูดไม่เก่ง และขี้อาย เขาคิดเช่นนั้นมาเสมอ เพราะเขาไม่เคยผ่านอคาเดมีดัง ๆ เนื่องจากต้องเรียนหนังสือไปด้วย ทำให้หลายครั้งที่เขาต้องทดสอบฝีเท้า และต้องเจอกับดาวรุ่งจากอคาเดมีที่มีคุณภาพอย่าง แรนส์, ลอริยองต์ หรือแม้แต่ แกลร์กฟงแตน (สร้าง นิโกลาส์ อเนลก้า และ เธียร์รี่ อองรี) เขามักจะโดนมองข้ามและปฏิบัติแบบพลเมืองชั้น 2 เสมอ กล่าวคือได้รับความสนใจน้อย และแทบไม่มีใครตระหนักในความสามารถของเขาเท่าไรนัก
เขาเป็นแบบนั้นมาเรื่อยมา แต่ถามว่ามันเป็นปัญหาสำหรับ ก็องเต้ หรือไม่ ? … คำตอบคือไม่เลย เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสภาพจิตใจของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน ที่ต้องรับบทเป็นคนดีที่โลกลืม เขาจืดสนิท ยอมรับกับสิ่งที่ทุกคนตัดสิน แม้กระทั่งเพื่อนร่วมทีมสมัยเล่นให้กับ บูโลญน์ ยังยืนยันว่า ก็องเต้ ไม่มีแววจะเป็นนักเตะที่เก่งเลยในสายตาของเขา
เอริค วานเดอแบร์เล (Eric Vandenabeele) เพื่อนร่วมทีมยุคแรกของ ก็องเต้ ยอมรับว่า เพื่อนของเขาเป็นคนเงียบ ๆ ไม่เคยเรียกร้องความสนใจจากใครเลย และนั่นทำให้เขาไม่เคยถูกมองว่าเก่งเลยในสายตาของหลาย ๆ คนในช่วงที่เขายังเป็นนักเตะดาวรุ่ง
“เอ็นโกโล่ เป็นคนที่แปลกมาก ไม่มีความอยากเป็นสตาร์เลยแม้แต่วินาทีเดียว ถ้าคุณถามว่าวันหนึ่งผมจะต้องมานั่งดูเขาแข่งขันในโทรทัศน์ ผมคงขำตายชัก เอ็นโกโล่ ที่ผมรู้จักแทบไม่มีโอกาสไปอยู่ตรงนั้นเลย” เอริค ว่าเช่นนั้น
Photo : US Boulogne CO @usbco_officiel
คำพูดของ เอริค อาจจะเหมือนดูถูก ก็องเต้ แต่ใจความสำคัญที่เขาพยายามจะสื่อคือ การที่ใครสักคนจะเห็นความสามารถของ ก็องเต้ เขาคนนั้นจะต้องตั้งใจดูสิ่งที่ ก็องเต้ ทำในสนาม เข้าใจในหน้าที่ และวัดผลลัพธ์ออกมาด้วยการคำนวนและวิเคราะห์จากแท็คติกอีกที ซึ่ง บูโลญน์ เล่นในระดับดิวิชั่น 3 … มันยากที่จะมีใครสนใจเขาเป็นพิเศษ ทุกคนที่ บูโลญน์ พูดถึงเขาในแง่มุมของคนดี และเพื่อนที่ดีเสมอ แต่น้อยคนจะบอกว่าเขาเก่งกาจและจะได้เป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เขามีในสิ่งที่นักฟุตบอลที่ดีจำเป็นต้องมี นั่นคือการเป็นคนที่มีทัศนคติดี คือสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด เพราะทัศนคติที่ดีสามารถผลักดันให้ใครคนหนึ่งไปได้ไกลในแบบที่ไม่เคยมีคนไหนคาดคิด และเรื่องราวของ ก็องเต้ หลังออกจาก บูโลญน์ ก็เป็นเช่นนั้น
ผมอ่อนตรงไหน ?
การเป็นคนคนเงียบ ๆ ง่าย ๆ และมีทัศนคติที่ดีเปลี่ยน ก็องเต้ ได้แค่ไหน ? อย่างแรกเลย คือมันทำให้เขาไม่ทะเลาะกับใคร และเปิดใจรับฟังคำแนะนำของคนอื่นตลอดเวลา เขาเป็นมิตรได้กับทุกคน และถ้ามีใครสักคนบอกว่าเขากำลังมีสิ่งต้องปรับปรุง เขาจะตื่นเต้นกับมันมาก เพราะเขามันทำให้เขารู้จุดอ่อนและแก้ไขมันด้วยตัวเอง
Photo : www.radio6.fr
“ตอนที่ เอ็นโกโล่ อายุ 16 ปี โค้ชทีมเยาวชนเดินมาบอกเรื่องราวของเขากับผม และให้ผมเอาขึ้นทีมชุดใหญ่” โธมัส บีซีเม็ก อดีตกุนซือ บูโลญน์ ว่าไว้
“ผมไม่กล้าเอาเขาลงสนามเพราะกลัวจะทำแดนกลางของเราพังยับเยิน ผมเก็บเขาไว้ที่ม้านั่งสำรอง … หลังจากนั้นผ่านไป 3 เกม และการซ้อมกับทีมชุดใหญ่ครบ 1 เดือน เอ็นโกโล่ กลายเป็นคนที่มีไอคิวด้านฟุตบอลสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขามีคือความเข้าใจเกม มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ สักพักผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าหมอนี่เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ไวมาก พูดก็พูดเถอะนะ ผมเคยเจอนักเตะที่ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้เลยตลอดชีวิตค้าแข้งมาเพียบเลยล่ะ”
ขณะที่โค้ชทีมเยาวชนของ บูโลญน์ ก็ดูจะยิ้มแป้นกับสิ่งที่โค้ชทีมชุดใหญ่ตกใจ เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าคนอย่างก็องเต้ ต้องการแค่คนที่แนะนำเขาให้ถูกทาง และเขาจะสมบูรณ์แบบได้ในไม่ช้า
“ครั้งหนึ่งผมเคยบอกเขาว่า ไอ้หนู เท้าซ้ายแกนี่มันมีไว้ยืนอย่างเดียวหรือไง ? ไปพัฒนามันหน่อยสิ หลังจากนั้น 2 เดือนเขากลับมาด้วยการเล่นด้วยเท้าข้างที่ไม่ถนัดได้สบายบรื๋อ” Piotr Wojtyna โค้ชทีมเยาวชนของ บูโลญน์ กล่าว
การพัฒนาตัวเองในระยะสั้น ๆ ทำให้ทีมระดับลีก 3 ขังเขาไว้ไม่อยู่ หลังจากเล่นให้ บูโลญน์ แค่ปีเดียว ก็องเต้ โตขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยการไปเล่นกับ ก็อง ใน ลีก เดอซ์ (ลีกรองของประเทศ) และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มเก่งขึ้นอีกจากคำแนะนำที่ได้ ในระดับการเล่นที่สูงขึ้น
“ผมไปที่นั่นตอนอายุ 22 ปี ก็อง เป็นทีมที่ดังมากเลย ในเรื่องการพัฒนาเยาวชน ผมตัดสินใจไปที่นั่นเพราะพวกเขาอยู่ดิวิชั่น 2 ซึ่งตัวผมก็เล่นแต่ในดิวิชั่น 3 เพื่อหวังว่าสักวันจะได้ไปเล่นในดิวิชั่น 1 ให้ได้” ก็องเต้ เล่าถึงขั้นตอนการคิดง่าย ๆ ที่ไม่ซับซ้อน
Photo : bleacherreport.com
แน่นอน เขาไม่ใช่ตัวเด่นเหมือนเคยสมัยเล่นในดิวิชั่น 2 เขาเป็นพวกมิดฟิลด์ผู้ปิดทองหลังพระ ทำงานหนักในที่ที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีคำชมชอบผ่านสื่อมากนัก แต่สำหรับเพื่อนร่วมทีมหลายๆคนก็เริ่มเข้าใจความสำคัญของเขาที่มีต่อทีม
มีคำกล่าวของเพื่อน ๆ ในทีม ก็อง ที่มักจะเล่าเรื่องของ ก็องเต้ ในสมัยนั้นที่เป็นคนง่าย ๆ ติดดิน สะพายเป้ขี่สกูตเตอร์คันจิ๋วมาสนามซ้อมว่า “เขามาซ้อมด้วยสกูตเตอร์ แต่หน้าที่ของเขาในสนามนั้นมันระดับเฟอร์รารี่” ประโยคดังกล่าวเปรียบเทียบการทำงานของ ก็องเต้ ได้ดีที่สุด
ก็องเต้ เล่นให้ ก็อง ปีเดียวก็ได้เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด และในลีกนี้เอง ที่เหล่าแมวมองของทีมดัง ๆ ในยุโรปมารวมตัวกัน ฝรั่งเศสคือดินแดนที่อุดมไปด้วยนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีในทีมเล็ก ๆ หากคนไหนทำได้ดี ทำได้เตะตา เขาคนนั้นมีโอกาสกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ผมเห็น มาเกเลเล่
ในเกมที่ โอลิมปิก มาร์กเซย์ พบกับ ก็อง ในปี 2014 วันนั้นถือว่าเป็นวันเกณฑ์ชะตาฟ้าเปิด แมวมองทั่วฟ้าสารทิศเดินทางมายัง สตาด เวโลโดรม เพื่อดูฟอร์มของนักเตะที่ว่ากันว่ากำลังพร้อมจะขยับรุ่น … ซึ่งแน่นอนว่าไม่มิสเตอร์จืดจางอย่างก็องเต้แน่นอน
ณ เวลานั้น ดิมิทรี ปาเยต ถือว่าเป็นสุดยอดดาวรุ่งของวงการ เขาเล่นให้กับ มาร์กเซย ในชุดเดียวกับนักเตะที่มีหลายทีมจับตามองอย่าง อังเดร อายิว และ จานนี อิมบูลา แต่ในวันนั้นแดนกลางของ มาร์กเซย ไม่ได้ทำงานที่ถนัด เพราะกองกลางตัวเล็กจาก ก็อง โชว์ฟอร์มได้ดีระดับ 5 ดาว เขาทำให้ทุกคนต้องตะลึงกับทักษะการแย่งบอล และการเก็บกวาดในแดนกลางที่หมดจดเหลือเชื่อ
Photo : www.francebleu.fr
“เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กินแผงกลาง มาร์กเซย์ แทนอาหารค่ำ เขาทำลายเกมคู่แข่งจนพินาศเป็นหน้ากลอง” กิลเลียม แล็ง นักข่าวของ Ouest-France ว่าเช่นนั้น ในเกมดังกล่าวเขาให้คะแนนก็องเต้ 10 เต็ม และอธิบายเพิ่มเติมว่า “สัตว์ประหลาด … เขาเดินทอดน่องไปมาระหว่างแนวกองกลางของมาร์กเซย ด้วยความลื่นไหลเหมือนกับปลาที่ว่ายผ่านน้ำ”
จากนั้นชื่อของ ก็องเต้ ก็ปรากฏบนหน้าสื่อบ้างแล้ว แน่นอนเขาไม่คุ้นชินกับความแปลกประหลาดนี้เท่าไรนัก เขาถูกนักข่าวเรียกมาสัมภาษณ์หลังเกมจบ เขาไม่เคยเจออะไรเช่นนี้มาก่อน … ใจความหลังจากนั้นคือ มาร์เซโล บิเอลซ่า กุนซือของ มาร์กเซย ณ เวลานั้นอยากจะได้เขามาร่วมงานกันในซีซั่นหน้า
แต่เมื่อผลงานระดับสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นแล้ว มาร์กเซย ก็ไม่ใช่ม้าตัวเดียวอีกต่อไป สตีฟ วอลช์ ทีมงานแมวมองของ เลสเตอร์ ซิตี้ อยู่ที่นั่น เขาบันทึกทุกอย่างที่จำเป็น เพื่อเตรียมเอาไปรายงานกับทีมซื้อขาย ซึ่ง ณ เวลานั้น เลสเตอร์ กำลังย่ำแย่เพราะพวกเขากำลังหนีตายในยุคของ ไนเจล เพียร์สัน จึงทำให้การคุยรายละเอียดยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งเมื่อฤดูกาลจบลง และมีการเปลี่ยนโค้ชเป็น เคลาดิโอ รานิเอรี ข้อมูลของ วอลช์ ก็เดินทางมาถึง และถูกเปิดอ่านจนได้
Photo : www.thesun.co.uk
“เวลาจะดูนักเตะคนไหนสักคน ผมบอกได้คำเดียวว่า คาแรคเตอร์ เป็นสิ่งสำคัญและหายากที่สุด เพราะข้อมูลและสถิติต่าง ๆ หาซื้อเอาที่ไหนก็ได้ ยิ่งคุณไปดูเขาในสนาม คุณก็จะเห็นมันชัดขึ้นไปอีก แต่ความจริงคือ มันไม่จำต้องไปดูนักเตะตอนที่เขามีบอลอยู่กับเท้าเสมอไปก็ได้ สิ่งสำคัญคือตอนที่เขาทำอะไรตอนที่เขาไม่มีบอลต่างหาก” วอลช์ กล่าว
“ผมดูว่าเขาเตรียมพับแขนเสื้อพร้อมบู๊ หรือเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อช่วยทีมหรือยัง พวกเขากลับสู่ตำแหน่งยืนที่รับผิดชอบทันไหม ดูความกล้าหาญในการเข้าปะทะและป้องกัน รวมถึงการเติมเกมบุกด้วย” แน่นอนว่าเขาหมายถึง ก็องเต้ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อออกมา
“ผมบอก เคลาดิโอ ว่า ‘รีบซื้อเขาเลย’ แต่ เคลาดิโอ เอาแต่พูดว่า ‘เขาตัวเล็กเกินไปมั้ง ทำไมฉันถึงต้องการนักเตะที่ชื่อก็องเต้ด้วย’ … ผมเลยบอก ‘แบบนี้ได้คุยกันยาวแน่ ฟังนะ … (เล่าสิ่งที่เขาไปเห็นมา) โอเค๊ ?'”
สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้นคือสิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดี เลสเตอร์ จ่ายเงิน ราว 6 ล้านปอนด์ เพื่อคว้า ก็องเต้ ไปร่วมทีมในฤดูกาล 2015-16 และกลายเป็นฤดูกาลแห่งตำนาน ที่ทัพจิ้งจอกสยามคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกแบบหักปากกาเซียน ชนิดอัตราต่อรอง 5,000-1 ก่อนเปิดซีซั่นกลายเป็นผงไปเลย
Photo : www.eurosport.com
หลังจากนั้น ทุกคนบนโลกนี้เห็นต้องตรงกันว่า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ คือระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย นักเตะแบบเขาหายจากโลกฟุตบอลไปหลายปี คนที่วิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดเวลา คนที่คอยช่วยทีมในยามคับขันหรือเวลาโดนเล่นเกมสวนกลับ และคนที่นักเตะเกมรุกของทีมสบายใจได้ว่า ต่อให้เสียบอลไป เขาคนนี้ก็จะไปล่ามันคืนมาให้ได้บุกต่อ … คุณสมบัติของ โคล้ด มาเกเลเล่ ห้องเครื่องของ เรอัล มาดริด, เชลซี และทีมชาติฝรั่งเศสนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ตัวของ มาเกเลเล่ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวรับที่ดีที่สุดตลอดกาล ยังออกมายกนิ้วให้ ก็องเต้ ด้วยตนเองว่า “สมบูรณ์แบบกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ”
“ก็องเต้ มีออร่ามากเมื่ออยู่ในทีม เขากลายเป็นเครื่องหมายของทีมที่จะเป็นผู้ชนะ คุณพูดถูก ผมคิดว่าเขามีออร่าของการเป็นนักเตะซูเปอร์สตาร์แล้ว ต่อจากนี้ไป ทีมชาติฝรั่งเศสจะขาดนักเตะอย่างเขาไม่ได้แล้ว” มาเกเลเล่ กล่าว
แชมป์โลกผู้ถ่อมตัว
หลังจากระเบิดฟอร์มกับ เลสเตอร์ และย้ายไปอยู่กับ เชลซี ด้วยค่าตัว 32 ล้านปอนด์ ก็องเต้ ยังคงเป็น ก็องเต้ คนเดิม เขาพา เชลซี ในยุค อันโตนิโอ คอนเต้ คว้าแชมป์ลีกได้ในทันทีในฤดูกาล 2016-17 เขาทำหน้าที่ปัดกวาด และเหนือกว่านั้นคือการลำเลียงบอลขึ้นหน้าได้ดีกว่าที่เคยเป็น เขาสมบูรณ์แบบในแง่นักเตะ และในแง่ของคน ๆ หนึ่ง เขายังเป็นผู้ชายที่น่ารักที่ไม่ว่าใครก็เกลียดไม่ลงอยู่ดี
Photo : www.irishmirror.ie
ที่ เชลซี มีนักเตะดังมากมาย แต่ ก็องเต้ คือความต่าง อดีตนายประตูของ เชลซี ที่ชื่อว่า มาร์ซิน บูลกา เล่าถึงการคุยกับ ก็องเต้ ในเวลานั้นว่า เขาสงสัยมานานแล้วทำไมถึงไม่ทำตัวให้เป็นนักเตะระดับแชมเปี้ยนกับเขาบ้าง ซึ่ง ก็องเต้ ก็ตอบสั้น ๆ ว่า “ก็เขาชอบแบบนี้”
“ผมชอบอยู่บ้านกับครอบครัวแล้วก็เพื่อน บ้านเป็นสถานที่โปรดของผมเสมอ ผมอยู่บ้านได้ทั้งวัน จะออกจากบ้านก็ต่อเมื่อมีคนชวนไปกินข้าวนั่นแหละ” ก็องเต้ อธิบายของตัวเอง ขณะที่ บูลกา ก็อธิบายความง่าย ๆ ของ ก็องเต้ อีกว่า
“ก็องเต้ ขับ มินิ คูเปอร์ (นักเตะทีมใหญ่มักขับรถสปอร์ต) เขาใช้โทรศัพท์ซัมซุงรุ่นเก่าแถมหน้าจอแตกอีกต่างหาก หลายคนถามว่าเขาทำไมไม่ซื้อโทรศัพท์ใหม่สักที … เขาตอบว่าจะซื้อทำไม เครื่องเก่าก็ยังใช้ได้อยู่เลย” บูลกา เล่าเรื่องราวในวันนั้น
Photo : www.thesun.co.uk
เขาเป็นคนซื่อ แต่ไม่ใช่คนซื่อบื้อหรือคนโง่แน่นอน ก็องเต้ ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน ทั้งในและนอกสนาม GiveMeSport เขียนเรื่องราวของเขาลงในเว็บไซต์ในบทความชื่อ “7 เรื่องของ ก็องเต้ ที่ทำให้คุณไม่มีทางไม่รักเขา” ว่า ก็องเต้ เป็นคนซื่อสัตย์กับทุกเรื่องที่ทำ แม้กระทั่งการเสียภาษีเงินได้ที่ปกตินักเตะดัง ๆ มักจะใช้ช่องทางต่าง ๆ เช่น การบริจาค หรืองานการกุศล หรือทริคต่าง ๆ เช่นการตั้งบริษัทนอมินีในประเทศปลอดภาษี เพื่อรับเงินแทน และลดภาระภาษีลง ซึ่งแม้ที่สุดจะมีตัวแทนบริษัทมาเชิญชวนให้ ก็องเต้ ใช้ทริคนี้ แต่เขาก็ปฏิเสธ และเลือกจ่ายภาษีแบบมนุษย์เงินเดือนทั่วไป ซึ่งทำให้ในปี 2018 ก็องเต้ นั้นเสียภาษีถึง 6.7 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว
“เอ็นโกโล่ก็เป็นแบบนี้แหละ เขาเป็นของเขาแบบนี้ ผมภูมิใจในตัวเขามาก” เมาริซิโอ ซาร์รี กุนซือของ เชลซี ในเวลานั้นกล่าว
นอกจากเรื่องที่กล่าวไป ก็องเต้ยังมีวีรกรรมคนซื่อมากมาย เช่น การวิ่งจ็อกกิ้งไปซ้อมสมัยอยู่กับ เลสเตอร์, การถูกลากไปเล่นเกม FIFA กับแฟนบอล อาร์เซนอล ทีมคู่ปรับร่วมลีกที่นับถือศาสนาอิสลามเหมือนกันด้วยเหตุบังเอิญ เพราะมัสยิดปิด และว่ากันว่าการโกงในชีวิตครั้งเดียวของเขา คือการโกงไพ่ระหว่างตั้งวงเล่นกับเพื่อนทีมชาติฝรั่งเศส
การที่ใครสักคนจะยึดมั่นในแนวทางของตัวเองมาได้อย่างเหนียวแน่นตลอดช่วงชีวิต ถือเป็นอะไรที่ทำได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะนักฟุตบอลที่สัมผัสทั้งจุดล่างสุด จนถึงจุดสูงสุดในไม่กี่ปีนั้นยิ่งยากไปกันใหญ่ นักฟุตบอลหลายคน คอนโทรลตัวเองไม่อยู่ และต้องแพ้ภัยให้กับทัศนคติที่ติดลบไป แต่ ก็องเต้ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย
Photo : www.football.london
เขายังมาถีงสนามซ้อมตรงตามเวลา สวัสดีแม่บ้าน สวัสดีคิทแมน อย่างเป็นกันเอง และลงซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมด้วยความเต็มที่ทุกวัน เลิกงานก็กลับบ้านพักผ่อน เช้ามาก็กลับมาทำงานหนักอีกครั้ง และเมื่ออยู่ในสนามแข่ง เขาทำหน้าที่ปัดกวาดเพื่อช่วยให้ทีมเล่นเกมบุกได้เต็มที่ เรียกได้ว่าการมีเขาอยู่ในทีมนั้น ได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากจะได้นักเตะที่ดีแล้ว เขายังเป็นคนที่สามารถดึงศักยภาพของเพื่อนร่วมทีมได้อีกด้วย … นักเตะแบบนี้คือคุณสมบัติในฝันของโค้ชหลายคนอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมรู้จัก ก็องเต้ มานานหลายปีแล้ว ทั้งในแง่มุมส่วนตัวและคุณภาพเชิงฟุตบอล ฉะนั้นพอได้มาคุมทีมที่มีเขาอยู่เป็นเสาหลัก จึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีสุด ๆ เลย” โทมัส ทูเคิล กล่าวหลังเข้ามาคุมทีม เชลซี ในวันแรก
“เขาเป็นกลางรับที่สามารถแย่งบอลจากฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมดในระยะ 10 เมตรห่างจากตัวเอง และเมื่อเรามีตัวตัดแบบนี้แล้ว ทำให้ดึงเอาศักยภาพของผู้เล่นตัวรุกคนอื่น ๆ ออกมาได้เต็ม 100% ด้วยเช่นกัน”
Photo : weaintgotnohistory.sbnation.com
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ คือ ก็องเต้ พาเชลซี กลับมาเกาะท็อป 4 ได้อีกครั้ง และเหนือสิ่งอื่นใด เขาพาตัวเองเข้าไปอยู่ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่กำลังเข้มข้นอย่างสุด ๆ หากเขาพาทีมเป็นแชมป์ได้ ก็องเต้ จะกวาดแชมป์แทบทุกรายการที่เขาเคยลงแข่งขันเลยทีเดียว ซึ่งมีนักเตะไม่กี่คนที่ทำเช่นนี้ได้
แต่ต่อให้เขาจะทำได้จริง ๆ ก็สามารถมั่นใจได้เลยว่า ผู้ชายคนซื่อคนนี้จะยังติดดินเหมือนเช่นเคย เพราะหลังจากที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 กับทีมชาติฝรั่งเศส เขาเคยถูกถามว่าช่วงเวลาใดน่าจดจำที่สุด เจ้าตัวกลับให้คำตอบที่หลายคนคาดไม่ถึง …
Photo : www.reddit.com
“ประตูแรกของผมกับสโมสรแรกในชีวิต ซูเรสเนส ตอนนั้นผมยิงไม่ได้เลยทั้งปี แต่นัดสุดท้ายของฤดูกาล ผมจำได้ บอลมันไหลมาเข้าทางผม และผมยิงมันเข้าประตูไป ผมวิ่งไปรอบสนามทั่วทุกที่ไปหมด เพื่อนร่วมทีมวิ่งตามกันเป็นพรวน มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ประตูแรกในชีวิตของผมมันโคตรวิเศษเลย” ก็องเต้ ตอบแบบไม่เกี่ยวกับฟุตบอลโลกเลยแม้แต่น้อย