เอาจริง! เครือข่ายประชาชนเชียงใหม่ ยื่นศาลปกครอง ฟ้อง ‘ประยุทธ์’ เมินแก้ฝุ่นพิษ เพิกเฉยใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ทอดทิ้งให้เผชิญภยันตรายต่อชีวิต
วันที่ 10 เม.ย.2566 ที่ศาลปกครองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มูลนิธินิติธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยประชาชนผู้ร่วมฟ้อง เช่น สภาลมหายใจเชียงใหม่,สภาลมหายใจภาคเหนือ,นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ นายแพทย์รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือ”หมอหม่อง” อาจารย์แพทย์โรคหัวใจ ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และนักอนุรักษ์เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว
นำเอกสารหลักฐานและรายชื่อประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่นควันและมลพิษอากาศที่ร่วมกันลงชื่อระหว่างวันที่ 7-9เม.ย.66 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 727 คน และทางออนไลน์อีกกว่า 980 คน เข้ายื่นศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ,คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ,คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และ คณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ไม่ใช้มาตรการทางกฎหมาย กลไกทางสิทธิมนุษยชน นโยบาย และแผนที่มีอยู่กำหนดมาตรการป้องกันและจัดทำแผนฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤตฝุ่นควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ จากกรณีที่ ตั้งแต่เดือน ม.ค. 66 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันสถานการณ์ฝุ่นควัน PM 2.5 ภาคเหนือ มีความเข้มข้นสูงปกคลุมหรืออนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงเป็นวิกฤตระดับสูงสุด และมีผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสะสมแล้วกว่า 2 ล้านคน
- เชียงใหม่มืดมัว มองจากเครื่องบินลงมา ท้องฟ้าแบ่งชั้นฝุ่นพิษชัด ล่างขุ่นบนสดใส
- ตอนนี้ยังทัน อีก 2 วัน ร่วมลงชื่อ ยื่นฟ้อง ‘ประยุทธ์’ ไม่แก้ฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ นิติฯ มช.
โดยเฉพาะในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนบนของไทยเช่น จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน ต้องประสบกับผลกระทบทางสุขภาพจากการรับสัมผัสฝุ่นพิษในระดับที่เป็นอันตราย โดยมีฝุ่น PM 2.5 สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไปต่อเนื่องกันนับสัปดาห์ เป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขที่ส่งผลอย่างร้ายแรงและถูกเพิกเฉยจากรัฐบาลมายาวนาน ซึ่งการฟ้องร้องครั้งนี้มีข้อเรียกร้องสำคัญทางคดี 3 ประการ ได้แก่
1. ฟ้องนายกรัฐมนตรีให้ใช้อำนาจตามมาตรา 9 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติอย่างร้ายแรงให้มีอำนาจสั่งการให้หน่วยงานทำหน้าที่อย่างเข้มข้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้อำนาจนี้จนการแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่น PM 2.5 มีความล่าช้าไม่ทันต่อความร้ายแรงของสถานการณ์
2.ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ให้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ ” การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ซึ่งรัฐบาลประกาศแผนนี้มาตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากในระยะเวลา 4 ปี ในการใช้แผนนี้แทบจะไม่เห็นความคืบหน้า และปัญหายังคงความรุนแรงอยู่ ถือเป็นความผิดปกติที่ไม่สามารถยอมรับได้
3.ฟ้องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และ คณะกรรมการกำกับตลาดทุน ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลซึ่งมีหน้าที่ครอบคลุมถึงพันธกรณีนอกอาณาเขตให้กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการจัดทำรายงานการเปิดเผยข้อมูลอย่างรอบด้านเพิ่มในแบบรายงาน66-1 One Report หรือแบบอื่นๆในฐานะเอกสารสำคัญ สำหรับการตรวจสอบข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานอันเกี่ยวเนื่องกับแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมาอย่างประเทศไทย
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ร่วมฟ้อง กล่าวถึงเหตุผลในการฟ้องครั้งนี้ว่า แผนฝุ่นแห่งชาติที่มีมาตั้งแต่ปี 2562 แต่ไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเลย ส่วนมาตรา 9 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ นั้น ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มที่ แต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ได้ใช้อำนาจนี้
ปัญหาสำคัญคือกฎหมายและแผนที่มีอยู่ไม่ถูกปฏิบัติอย่างเต็มที่ เราอยากเห็นการนำกฎหมายและแผนมาใช้ปฏิบัติการจริง ถ้ามันใช้ไม่ได้เราจะได้ปรับเปลี่ยนเพื่อให้แก้ไขปัญหาได้จริงๆ โดยการฟ้องในครั้งนี้มีการขอให้ศาลปกครองรับเป็นคดีฉุกเฉินด้วย เพราะสถานการณ์ปัญหาที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่มีความรุนแรงระดับวิกฤตที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและป้องกันในระยะยาวด้วย
ขณะที่ นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือ ”หมอหม่อง” เปิดเผยว่า ประชาชนในเมืองต้องเจอฝุ่นพิษ PM2.5 ระดับเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ต้องเผชิญกับความเสี่ยงมะเร็งปอดชนิด EGFR mutation ที่มักพบในคนไม่สูบบุหรี่ เพิ่มขึ้น 7 เท่า รวมถึงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และมีอายุเฉลี่ยสั้นลง 4-5 ปี เราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจากภาครัฐด้วยเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ ไม่เกรงใจกลุ่มทุน ซึ่งจะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยและรักษาชีวิตคนได้นับล้าน
ทั้งนี้ส่วนตัวในฐานะแพทย์ได้แสดงออกและเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหานี้มายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว พร้อมทั้งให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่พิสูจน์แล้วว่าฝุ่นควันPM2.5 นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลจริงใจในการแก้ไขปัญหานี้ โดยร่วมฟ้องในครั้งนี้พร้อมข้อมูลสนับสนุนทางการแพทย์ ซึ่งคาดหวังว่าศาลจะเข้าใจและรับฟัง
ส่วน นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า ทุกคนต้องทนอยู่กับวิกฤตฝุ่นพิษที่เลวร้ายขึ้นทุกปีจนทนไม่ไหวแล้ว อยากเรียกร้องให้รัฐต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อลดมลพิษฝุ่นควันในป่าและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณต่อพรรคการเมืองและรัฐบาลชุดใหม่ว่าต้องให้ความสำคัญและมีนโยบายเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้กลยุทธ์ในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษไม่ควรจะทำเป็นอีเวนท์หรือแบบชั่วครั้งชั่วคราวจบเป็นปีๆ ไป ซึ่งเป็นแบบนี้มานานกว่า 10 ปี แล้ว โดยที่ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง ซึ่งสภาลหายใจในฐานะตัวแทนประชาชนต้องการเป็นอีกพลังส่งเสียงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุคของเรา เพื่อลูกหลานจะได้ไม่ทุกข์ทรมาน และมีลมหายใจที่สะอาดในอนาคต.