นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงเมื่อวันศุกร์ (2 มิ.ย.) ว่าจะต้องชะลอนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทเอาไว้ก่อน เพื่อให้พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ใช้เงินในการทำนโยบายสวัสดิการเสียก่อน
“เราไม่ได้ใช้คำว่ายุติ เราไม่ได้ใช้คำว่าพับ แต่เราใช้คำว่าชะลอเพื่อการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ และให้เกียรติกับพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล” นายเผ่าภูมิ กล่าว
ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยเปรียบเทียบว่า นโยบายเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยใช้เงินราว 560,000 บาท ขณะที่นโยบายรัฐสวัสดิการของพรรคก้าวไกลใช้เงิน 650,000 บาท โดยที่ทั้งคู่เป็นการใช้เงินในงบประมาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เงินกู้ ดังนั้นท้ายที่สุดจึงต้องเลือกนโยบายใดนโยบายหนึ่ง
“นั่นหมายความว่าเรากำลังใช้เงินก้อนเดียวกัน และการทำ 2 นโยบายนี้พร้อมๆ กัน ในภาวะทางการคลังแบบนี้ทำไม่ได้ นั่นหมายถึงว่าในที่สุดแล้วครับ มีความเป็นไปได้สูงว่าเราจะต้องเลือกระหว่างนโยบายด้านสวัสดิการและนโยบายดิจิทัลวอลเลต” นายเผ่าภูมิ กล่าว
นายเผ่าภูมิกล่าวอีกว่า ในเมื่อผลการเลือกตั้งชี้ว่าพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคอันดับ 1 จึงต้องให้เกียรติพรรคก้าวไกลที่ชนะการเลือกตั้งได้ทำนโยบายของตัวเองเสียก่อน
ยันดิจิทัลวอลเลตจำเป็น
อย่างไรก็ตาม นายเผ่าภูมิ พูดต่อไปว่า พรรคเพื่อไทยก็ได้รับความไว้วางใจไม่น้อย และเชื่อว่านโยบายดิจิทัลวอลเลตตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและสภาวะทางเศรษฐกิจตามความเป็นจริง ที่ต้องอาศัยการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ที่นายเผ่าภูมิใช้คำว่า “ปั๊มหัวใจ” เสียก่อน
“ผมพูดเสมอว่าประเทศไทยในภาวะปัจจุบันไม่พร้อมครับ สำหรับที่จะรับนโยบายอะไรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีการปั๊มหัวใจก่อน นโยบายต่างๆ ที่จะเข้ามา ไม่ว่าจะของพรรคไหนก็ตาม จะไร้ประสิทธิภาพหรือมีประสิทธิภาพ ต่ำลงในทันที ถ้าประเทศยังไม่พร้อม และนั่นจึงนำมาสู่ความจำเป็นของการกระตุ้นเศรษฐกิจ” นายเผ่าภูมิ กล่าว
ส่วนอีกเหตุผลที่รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงความจำเป็นของนโยบายนี้ คือ การวางรากฐานเงินดิจิทัลของไทย
“เราจำเป็นที่จะต้องวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้กับประเทศ และเราต้องสร้าง Digital Economy (เศรษฐกิจดิจิทัล) ให้กับประเทศ และดิจิทัลวอลเลตเป็นเครื่องมือที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการสิ่งนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นนี่คือประโยชน์ 2 ข้อที่สำคัญๆ ของดิจิทัลวอลเลตที่ต้องนำเข้าสู่วงเจรจา”
อย่างไรก็ตาม นายเผ่าภูมิกล่าวว่า การชะลอนโยบายดังกล่าวไม่ใช่ผลจากการเจรจากับพรรคก้าวไกลและอีก 6 พรรคจัดตั้งรัฐบาล แต่ที่ผ่านมามีการพูดคุยในวงเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ และจะนำไปพูดคุยในการเจรจาอย่างเป็นทางการในอนาคต