เตือน การกิน 5 ประเภทที่เซลล์มะเร็ง “ชอบมาก” รู้แล้วยังดื้อกินไม่หยุด ระวังชีวิตบางกว่าแผ่นกระดาษ
สาเหตุของโรคมะเร็งส่วนใหญ่แม้ยังไม่เป็นที่ชี้ชัด แต่มีความเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ใช่ปัจจัยเดียว แต่เป็นผลมาจากการรวมกันของปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยภายใน และปัจจัยสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก เช่น วิถีชีวิตสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต และการรับประทานอาหาร
ตาามรายงานของสำนักข่าว Sohu อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับโรคต่างๆ รวมถึงมะเร็งด้วย และมีการรับประทานอาหาร 5 ประเภทที่เซลล์มะเร็ง “ชอบมาก” ได้แก่
อาหารที่ประกอบด้วยเนื้อแดงเกือบทั้งหมด
เนื้อแดง ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ และหมูไม่แปรรูป จัดเป็นสารก่อมะเร็ง 2A จากข้อมูลของ American Cancer Society การรับประทานเนื้อแดงมากกว่า 510 กรัมต่อสัปดาห์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เช่น มะเร็งช่องทวารหนักและมะเร็งลำไส้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารเคมี เช่น เฮเทอโรไซคลิกเอมีน (HCA) และโพลีไซคลิกเอมีน (PCA) เกิดขึ้นเมื่อเนื้อแดงผ่านกระบวนการแปรรูปและปรุงสุกที่อุณหภูมิสูง สามารถทำลายเซลล์ในลำไส้ได้ ส่วนธาตุเหล็กฮีโมโกลบินในเนื้อแดง สามารถนำไปสู่ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งในทางกลับกันสามารถเพิ่มการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมัน ซึ่งนำไปสู่การดัดแปลงโปรตีนและความเสียหายของ DNA ที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติซึ่งนำไปสู่มะเร็ง
แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรกินเนื้อแดงเลย เพราะเนื้อแดงอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก และยังอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินบี 12 ไทอามีน ไรโบฟลาวิน และฟอสฟอรัส องค์ประกอบทางโภชนาการและคุณค่าทางโภชนาการของเนื้อแดงและเนื้อขาว (เช่น ปลาและสัตว์ปีก) จะแตกต่างกัน เนื้อขาวเพียงอย่างเดียวไม่สามารถใช้ทดแทนเนื้อแดงได้ ดังนั้นต้องกินเนื้อแดงโดยควบคุมปริมาณไม่ให้มากเกินไป
กินเนื้อสัตว์แปรรูปมากเกินไป
เนื้อสัตว์แปรรูป คือเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การหมัก การรมควัน ฯลฯ โดยเติมสารอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ และยืดระยะเวลาการเก็บรักษา ยกตัวอย่างเนื้อสัตว์แปรรูปยอดนิยม เช่น ไส้กรอก แฮม เนื้อรมควัน…
ตามระดับของ WHO เนื้อสัตว์แปรรูปจัดอยู่ในประเภทสารก่อมะเร็งระดับ 1 เนื่องจากไนเตรตและไนไตรต์ที่ถูกใช้เพื่อรักษาความสดของเนื้อสัตว์แปรรูป เมื่อเรากินเข้าไปอาจกลายเป็นสารเคมี N-nitroso (NOC) ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ที่อยู่ในลำไส้ได้ และความเสียหายนี้อาจนำไปสู่มะเร็งลำไส้ ไนเตรตที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เนื้อสัตว์แปรรูปมีความเสี่ยงมะเร็งลำไส้มากกว่าเนื้อแดง
ปริมาณเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปที่แนะนำให้ทาน ควรน้อยกว่า 70 กรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าแฮมประมาณ 3 ชิ้น, เบคอน 2 ชิ้น, เบอร์เกอร์เนื้อชิ้นเล็ก 1 ชิ้น ยิ่งกินเนื้อแดงที่ผ่านการแปรรูปน้อยลง ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งก็จะยิ่งลดลง
กินอาหารปิ้งย่างบ่อยๆ
อาหารปิ้งย่างเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่สิ่งสำคัญคือมีสารก่อมะเร็ง เช่น เบนโซไพรีน อะคริลาไมด์ (เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเผาผลาญที่อุณหภูมิสูง) สารประกอบไนโตรโซ ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้
กินเค็มเกินไป เกลือมากเกินไป
การรับประทานเกลือมากเกินไป ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงเท่านั้น แต่ยังทำลายสิ่งกีดขวางของเยื่อเมือกในกระเพาะอาหาร และเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งหลอดอาหารด้วย เนื่องจากมีสารประกอบไนโตรซามีน รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งลำไส้
กินอาหารหมดอายุ อาหารขึ้นรา
เนื่องจากอาหารที่หมดอายุ หรืออาหารที่ผ่านการเก็บรักษาไม่เหมาะสม อาจมีเชื้อราบางชนิดและสารเมตาบอไลต์ เช่น อะฟลาทอกซิน ซึ่งสามารถลดไนเตรตเป็นไนไตรท์ และส่งเสริมการสังเคราะห์สารประกอบไนโตรซามีนบางชนิด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ
ทั้งนี้ นอกจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ควรหลีกเลี่ยง “รูปแบบการกิน” ที่เป็นอันตรายอื่นๆเช่น การกินอาหารทอดมากเกินไป อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวหรือไขมันทรานส์ กินอิ่มเกินไป รวมทั้งการบริโภคน้ำตาลจำนวนมาก ซึ่งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานประเภท 2 โรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็ง
- เตือนแล้วนะ! แพทย์ชี้ไม่ควรกิน “ส่วนที่สกปรกที่สุด” ของหมูโดยเด็ดขาด
- รู้ไว้ดีกว่า! หมอเจออีกเคส “มะเร็งผิวหนัง” ต้นเหตุคือนิสัย “อาบน้ำ” แบบหลายคนชอบทำ