ถือว่าเป็นการเขย่าวงาการสื่อบันเทิงครั้งใหญ่ เมื่อดิสนีย์เล็งปลดพนักงาน 7,000 ตำแหน่งเพื่อลดค่าใช้จ่ายในบริษัทและปรับโครงสร้างธุรกิจ หลังจำนวนสมาชิกดิสนีย์พลัสลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2562
บีบีซี รายงานว่า นายบ็อบ ไอเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทดิสนีย์ เผยว่า เขากำลังปลดพนักงาน 7,000 ตำแหน่ง คิดเป็นประมาณร้อยละ 3.6 ของพนักงานดิสนีย์ทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการประหยัดค่าใช้จ่าย 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 18,500 ล้านบาท) และเร่งทำให้บริการสตรีมมิงดิสนีย์พลัสมีกำไร จากการที่จำนวนสมาชิกในไตรมาสที่ผ่านมาลดลงเหลือ 161.8 ล้านคนจาก 164 ล้านคน
ขณะเดียวกัน บริษัทกำลังวางแผนปรับโครงสร้างบริษัทโดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 ภาคส่วน ได้แก่ 1.ดิสนีย์ เอนเตอร์เทนเมนต์ (Disney Entertainment) ซึ่งประกอบด้วยบริการสตรีมมิ่งรายการและการดำเนินงานด้านสื่อ 2.อีเอสพีเอ็น (ESPN) ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายโทรทัศน์และบริการสตรีมมิ่งรายการที่ชื่อว่า อีเอสพีเอ็นพลัส (ESPN+) และ 3.ธุรกิจสวนสนุก การมอบประสบการณ์ และผลิตภัณฑ์
“เราเชื่อว่าการปรับโครงสร้างบริษัทครั้งนี้จะส่งผลให้แนวทางการประสานงานของเรามีต้นทุนที่คุ้มค่ามากขึ้น การดำเนินงานของบริษัทมีการประสานงานกันมากขึ้น ในขณะที่การลดค่าใช้จ่ายจะนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน และความสามารถในการทำกำไรสำหรับธุรกิจสตรีมมิ่งของเรา ท่ามกลางการหยุดชะงักในอนาคตและความท้าทายทางเศรษฐกิจทั่วโลก และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ถือหุ้นของเรา” นายไอเกอร์กล่าวเสริม
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีรายรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 คิดเป็นมูลค่า 23,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 79,000 ล้านบาท) ซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 43,600 ล้านบาท) มากกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ไว้ที่ 23,400 ล้านดอลลาร์ ขณะที่บริษัท กล่าวว่า ผลประกอบการดังกล่าวได้มาจากการฉายภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง “Avatar: The Way of Water” รวมถึงรายได้จากสวนสนุกที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ นายไอเกอร์ยังบอกอีกว่า ธุรกิจสตรีมมิงยังคงมีความสำคัญสูงสุดของดิสนีย์ และบริษัทจะให้ความสำคัญกับแบรนด์หลักและแฟรนไชส์มากขึ้น และจะจัดการเนื้อหาบันเทิงอย่างจริงจัง